วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สำนวนนิราศในลิลิตตะเลงพ่าย

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงพระนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่ายขึ้นเป็นบทสดุดีเฉลิมพระเกียรติวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยแก่พระมหาอุปราชแห่งกรุงหงสาวดี เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕  แม้ว่าเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการทำศึกสงคราม แต่วรรณคดีเรื่องนี้กลับมีรสวรรณคดีอย่างครบถ้วน ทั้งนี้ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ผู้นิพนธ์ 
                เป็นที่น่าเสียดายว่าสำนวนนิราศที่ไพเราะในลิลิตตะเลงพ่ายได้ถูกตัดทอนไปเมื่อเป็นบทเรียนในหนังสือเรียนภาษาไทย  จึงขอหยิบยกบางบทจากตอนพระมหาอุปราชคร่ำครวญถึงนางระหว่างการเดินทัพมาทำศึกกับกรุงศรีอยุธยา พอให้ได้สัมผัสความงดงามแห่งสำนวนนิราศ
ชมไม้ 
                                                            พระครวญพระคร่ำไห้                         โหยหา
                                                พลางพระพิศพฤกษา                                       กิ่งเกี้ยว
                                                กลกรกนิษฐานา-                                             รีรัตน์  เรียมฤๅ
                                                ยามตระกองเอวเอี้ยว                                       โอบอ้อมองค์เรียม ฯ
                                                             เฌอปรางเปรียบนาฏน้อง                    นวลปราง
                                                รักดั่งรักนุชพาง                                               พี่ม้วย
                                                ช้องนางเฉฏช้องนาง                                        คลายคลี่  ลงฤๅ
                                                โศกพี่โศกสมด้วย                                            ดั่งไม้นามมี ฯ
                                              เล็บมือนางนี้หนึ่ง                                               นขา  เรียมฤๅ

                                                                ต้องดั่งต้องบุษบา                                นิ่มน้อง
                                                ชงโคคิดชงฆา                                                     นุชนาฏ  เหมือนฤๅ
                                                เรียมระเมียรเดื่อปล้อง                                         ดั่งปล้องศอสมร ฯ
                                               ซ่อนกลิ่นกลิ่นแก้วซ่อน                                        นาสา
                                                                ตาดว่าตาดพัสตรา                               หนุ่มเหน้า
                                                สลาลิงเล่ห์สลา                                                    นุชเทียบ  ถวายฤๅ
                                                สวาดดั่งเรียนสวาทเจ้า                                        จากแล้วหลงครวญ
                                              สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง                                             ยามสาย
                                                                สายบ่หยุดเสน่ห์หาย                           ห่างเศร้า
                                                กี่คืนกี่วันวาย                                                        วางเทวศ   ราแม่
                                                ถวิลทุกขวบค่ำเช้า                                                หยุดได้ฉันใด
ชมนก
                                                              นางนวลนึกนิ่มน้อง                               นวลปราง
                                                จากพรากพรากจากนาง                                       หนึ่งนั้น
                                                พิราบพิลาปคราง                                                 ครวญแข่ง  ข้าฤๅ
                                                บัวว่ายบัวนุชปั้น                                                  อกน้องเรียมฤๅ ฯ
                                                              ก่แก้วคิดคู่แก้ว                                      กลอยใจ  เรียมฤๅ
                                                แสรกยิ่งแสรกหฤทัย                                           พี่เศร้า
                                                นกออกนึกออกไพร                                            พลัดแม่  เหมือนฤๅ
                                                ชมแขกเต้าคู่เต้า                                                   แขกน้องนานคืน ฯ
    
                                                                เนืองนกจับมิ่งไม้                                  เรียมยล
                                                คุมคู่อยู่ทุกตน                                                       ต่างร้อง
                                                ตูเดียวอดูรทน                                                       ทุกข์ทุ่ม  ทรวงนา
                                                ฤๅบ่มีเพื่อนพร้อง                                                พี่เพี้ยงอาดูร ฯ
                                                              เบญจวรรณวานเร่งร้อง                          เราบิน  ไปเฮย
                                                แจ้งที่แสนสุดถวิล                                               วากย์ว้า
                                                ยามกินบเป็นกิน                                                  กินโศก
                                                นอนดั่งนอนป่าช้า                                                ชอกช้ำทรวงสลาย ฯ
                                                              ไก้ฟ้าวานว่ายฟ้า                                     หาวหน
                                                หาสมรมายล                                                        เถื่อนท้อง
                                                เชิญชมพนารัญ                                                    เรียงรุ่น  รุกข์แฮ
                                                ชมพิหคเหินร้อง                                                  ร่ายไม้  ไขเสียง ฯ
                                                               พระโหยพระไห้ร่ำ                               รำจวน
                                                พลางพระคำนึงนวล                                            หนุ่มหน้า
                                                บเหือดบหายครวญ                                             ครางคร่ำ  อยู่แฮ

                                                พระแต่โศกแต่เศร้า                                             แต่สร้อยแสนทวี ฯ

คุณธรรมที่ได้รับจากเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย

               1 .ความรอบคอบไม่ประมาท
                                ในเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายนี้เราจะเห็น คุณธรรมของพระนเรศวรได้อย่างเด่นชัดและสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าพระองค์ทรง เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากที่สุดคือ ความรอบคอบ ไม่ประมาท
ดั่งโคลงสี่สุภาพตอนหนึ่งกล่าวว่า
                                                                พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน                           อัสดง
                                                เกรงกระลับก่อรงค์                                             รั่วหล้า
                                                คือใครจักคุมคง                                                    ควรคู่ เข็ญแฮ
                                                อาจประกันกรุงถ้า                                               ทัพข้อยคืนถึง
หลังจากที่พม่ายกกองทัพเข้ามาพระองค์ก็ทรงสั่งให้พ่ายพลทหารไปทำลายสะพานเพื่อ ว่าเมื่อฝ่ายไทยชนะศึกสงคราม พ่ายพลทหารของฝ่ายพม่าก็จะตกเป็นเชลยของไทยทั้งหมด นั่นแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีทัศนคติที่กว้างไกล ซึ่งมีผลมาจากความรอบคอบไม่ประมาท
                2 .การเป็นคนรู้จักการวางแผน
                                จากการที่เราได้รับการศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าในช่วง ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปลี่ยนแผนการรบเป็นรับศึกพม่าแทนไปตีเขมร พระองค์ได้ทรงจัดการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไม่รอช้า ทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้าและพระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพ หน้าตามด้วยแผนการอื่นๆอีกมากมายเพื่อทำการรับมือ และพร้อมที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูทางฝ่ายพม่า ยกตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่แสดงให้เราเห็นถึงการรู้จักการวางแผนของสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช
                                                                พระพึงพิเคราะห์ผู้             ภักดี ท่านนา
                                                คือพระยาจักรี                                      กาจแกล้ว
                                                พระตรัสแด่มนตรี                               มอบมิ่ง เมืองเฮย
                                                กูไกลกรุงแก้ว                                      เกลือกช้าคลาคืน
เมื่อเราเห็นถึงคุณธรรมทางด้านการวางแผนแล้วเราก็ควรเอาเยี่ยงอย่างเพื่อใช้ในการ ดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีระเบียบ มีแบบแผน ซึ่งจากคุณธรรมข้อนี้ก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ให้กลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตทางด้านการวางแผนในการดำเนินชีวิตก็เป็น ได้ถ้าเรารู้จักการวางแผนให้กับตัวเราเอง
                3. การเป็นคนรู้จกความกตัญญูกตเวที
                                จากบทการรำพึงของพระมหาอุปราชาถึงพระราชบิดานั้น แสดงให้เราเห็นอย่างเด่นชัดเลยทีเดียวว่าพระมหาอุปราชาทรงมีความห่วงใย อาทร ถึงพระราชบิดาในระหว่างที่ทรงออกรบ ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อพระราชบิดา โดยพระองค์ได้ทรงถ่ายทออดความนึกคิด และรำพึงกับตัวเอง ดั่งโคลงสี่สุภาพที่กล่าวไว้ว่า
                                                                ณรงค์นเรศด้าว                    ดัสกร
                                                ใครจักอาจออกรอน                            รบสู้

                                                เสียดายแผ่นดินมอญ                          มอด ม้วยแฮ
                                                เหตูบ่มีมือผู้                                          อื่นต้านทานเข็ญ
ซึ่งเมื่อแปลจะมีความหมายว่า เมื่อยามที่สงครามขึ้นใครเล่าจะออกไปรบแทนท่านพ่อ จากโคลงนี้ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อพระราชบิดาของพระมหา อุปราชาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความกตัญญู ความจงรัก ภักดี ต่อชาติบ้านเมืองอีก
                4. การเป็นคนช่างสังเกตและมีไหวพริบ
                                สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถทางด้านการมีความ สติปัญญาและมีไหวพริบเป็นเลิศ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงมีคุณธรรมทางด้านการเป็น คนช่างสังเกตและมีไหวพริบ ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงสามารถแก้ไขสถานการณ์อันคับขันในช่วงที่ตกอยู่ใน วงล้อมของพม่าได้ ซึ่งฉากที่แสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงมีคุณธรรมทางด้านนี้คือ
                                                                โดยแขวงขวาทิศท้าว          ทฤษฎี แลนา
                                                บัด ธ เห็นขุนกรี                                  หนึ่งไสร้
                                                เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์                                เรียงคั่ง ขูเฮย
                                                หนแห่งฉายาไม้                                  ข่อยชี้เฌอนาม
                                                                 ปิ่นสยามยลแท้ท่าน           คะเนนึก อยู่นา
                                                ถวิลว่าขุนศึกสำ-                  นักโน้น
                                                ทวยทับเทียบพันลึก                            แลหลาก หลายแฮ
                                                ครบเครื่องอุปโภคโพ้น                      เพ่งเพี้ยงพิศวง
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วิธีการสังเกตหาฉัตร5ชั้นของพระมหาอุปราชา ทำให้พระองค์ทรงทราบว่าใครเป็นพระมหาอุปราชาทั้งๆที่มีทหารฝ่ายข้าศึกร่าย ล้อมพระองค์จนรอบ แต่ด้วยความมีไหวพริบพระองค์จึงตรัสท้ารบเสียก่อนเพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัส ท้ารบเสียก่อนพระองค์อาจทรงถูกฝ่ายข้าศึกรุมโจมตีก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อเราเห็นคุณธรรมของพระองค์ด้านนี้แล้วก็ควรยึดถือและนำไปปฏิบัติ ตามเพราะสิ่งดีๆเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลดีต่อตนเอง และต่อประเทศชาติได้
                5. ความซื่อสัตย์
                                จากเนื้อเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาขุนกรีและทหารมากมายทั้งฝ่ายพม่าและฝ่าย ไทยมีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี ต่อประเทศชาติของตนมากเพราะจากการที่ศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเรายังไม่ เห็นเลยว่าบรรดาทหารฝ่ายใดจะทรยศต่อชาติบ้านเมืองของตน ซึ่งก็แสดงให้เราเห็นว่าความซื่อสัตย์ในเราองเล็กๆน้อยๆก็ทำให้เราสามารถ ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ๆได้ซึ่งจากเรื่องนี้ความซื่อสัตย์เล็กๆน้อยๆของบรรดา ทหารส่งผลให้ชาติบ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้
เราก็เช่น เดียวกัน….ถ้าเรารู้จักมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองดั่งเช่นบรรดาขุนกรี ทหารก็อาจนำมาซึ่งความเจริญและความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ซึ่งสิ่งนี้อาจส่ง ผลประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัวและชาติบ้านเมือง
                6. การมีวาทศิลป์ในการพูด
                                จากเรื่องนี้มีบุคคลถึงสองท่านด้วยกันที่แสดงให้เราเห็นถึงพระปรีชาสามารถทาง ด้านการมีวาทศิลป์ในการพูด ท่านแรกคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
                                                                พระพี่พระผู้ผ่าน                 ภพอุต-ดมเอย
                                                ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด                          ร่มไม้
                                                เชิญการร่วมคชยุทธ์                           เผยอเกียรติ ไว้แฮ
                                                สืบว่าสองเราไซร้                               สุดสิ้นฤามี
เราจะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วาจาที่ไพเราะมีความสุภาพน่าฟังต่อพระมหาอุป ราชาซึ่งเป็นพี่เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับอยู่ทางฝ่ายพม่า
ท่าน ที่สองคือ สมเด็จพระวันรัต เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงมาขอพระราชทานอภัยโทษจากพระนเรศวร ให้กับบรรดาทหารที่ตามเสด็จพระนเรศวรในการรบไม่ทัน ซึ่งอยู่ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
                                                                พระตรีโลกนาถแผ้ว           เผด็จมาร
                                                เฉกพระราชสมภาร                            พี่น้อง
                                                เสด็จไร้พิริยะราญ                               อรินาศ ลงนา
                                                เสนอพระยศยินก้อง                           เกียรติก้องทุกภาย

การมีวาทศิลป์ในการพูดของสมเด็จพระวันรัตครั้งนี้ทำให้บรรดาขุนกรี ทหารได้รับการพ้นโทษดังนั้นจากคุณธรรมข้อนี้ทำให้เราได้ข้อคิดที่ว่า การพูดดีเป็นศรีแก่ตัวเมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราทุกคนก่อนที่จะพูดอะไรต้อง คิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูด


บทวิเคราะห์ - ด้านสังคม

ด้านสังคม



๑) สะท้อนให้เห็นธรรมชาติมนุษย์ เช่น
                                พระเจ้าหงสาวดีตรัสประชดพระมหาอุปราชาว่า กษัตริย์กรุงศรีอยุธยามีพระโอรสที่กล้าหาญไม่ครั่นคร้ามจ่อการศึกสงคราม แต่พระโอรสของพระองค์เป็นคนขลาด ทำให้พระมหาอุปราชาทรงอับอายและเกรงพระราชอาญา จึงเกิดขัตติยมานะยอมกระทำตามพระราชประสงค์ของพระราชบิดา ดังตัวอย่าง

                                “...องค์อุปราชยินสาร แสนอัประมาณมาตย์มวล นวลพระพักตร์ผ่องเผือด เลือดสลดหมดคล้ำ ช้ำกมลหมองมัว กลัวพระอาชญายอบ นอบประณตบทมูล ทูลลาไท้ลีลาศ ธก็ประกาศเกณฑ์พล บอกยุบลบมิหึง...
                                สมเด็จพระนเรศวรเมื่อตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก ได้ใช้วาทศิลป์กล่าวเชิญพระมหาอุปราชามารบตัวต่อตัว เพื่อเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรีของทั้งสองพระองค์ สืบต่อไปภายหน้าจะไม่มีการรบที่กล้าหาญเยี่ยงนี้อีก ดังความในบทประพันธ์ต่อไปนี้
                                                                พระพี่พระผู้ผ่าน                 ภพอุต ดมเอย
                                                ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด                          ร่มไม้
                                                เชิญราชร่วมคชยุทธ์                           เผยอเกียรติ ไว้แฮ

                                                สืบกว่าสองเราไสร้                            สุดสิ้นฤามี

ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรธแม่ทัพนายกองที่ตามเสร็จเข้าสนามรบไม่ทันจึงตรัสสั่งประหารชีวิต สมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้วขอพระราชทานอภัยโทษ โดยยกเหตุผลว่าเป็นเพราะเทพยดาบันดาลให้เป็นไป เพื่อให้พระองค์แสดงพระบรมเดชานุภาพให้ปรากฏคำกล่าวถูกพระทัยสมเด็จพระนเรศวรจึงพระราชทานอภัยโทษ แต่ต้องไปทำการศึกแก้ตัวโดยให้นำทัพไปตีเมืองเมาะตะมะและตะนาวศรี
                                                                พระตรีโลกนาถแล้ว                           เผด็จมาร
                                                เฉกพระราชสมภาร                                            พี่น้อง
                                               
                                                เสด็จไร้พิริยะราญ                                               อรินาศ ลงนา
                                                เสนอพระยศยินก้อง                                           เกียรติท้าวทุกภาย
                                                                ผิวหลายพยุหยุทธ์ร้า                           โรมรอน
                                                ชนะอมิตรมวลมอญ                                           มั่วมล้าง
                                                พระเดชบ่ดาลขจร                                               เจริญฤทธิ์ พระนา
                                                ไปทั่วธเรศออกอ้าง                                             เอิกฟ้าดินไหว
                ๒) สะท้อนเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี ขนบธรรมเนียมในการศึกที่ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ เมื่อพระมหาอุปราชาจะออกศึก พระเจ้าหงสาวดีทรงประสาทและให้โอวาทการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารและความเด็ดขาดในการรบ ความรู้เกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม การจัดทัพ การตั้งทัพ ประเพณี และพิธีกรรมเกี่ยวกับสงคราม เช่น พิธีโขลนทวารตัดไม้ข่มนาม เพื่อการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหาร ดังที่ปรากฏในบทประพันธ์ที่กล่าวถึงพิธีโขลนทวารซึ่งเป็นพิธีบำรุงขวัญทหารก่อนออกศึกเหล่าทหารต่างฮึกเหิมและมีกำลังใจเพราะมีพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ ดังนี้
                 “...พลันขยายพยุหบาตรา คลาเข้าโขลนทวาเรศ สงฆ์สวดชเยศพุทธมนต์ ปรายประชลเฉลิมทัพ ตามตำรารับราชรณยุทธ์ โบกกบี่ธุชคลาพล ยลนาวาดาดาษ ดูสระพราศสระพรั่ง คั่งคับขอบคงคา แลมหาเหาฬาร์พันลึก อธึกท้องแถวธาร...

๓) สะท้อนให้เห็นความเชื่อของสังคมไทย  ความเชื่อที่ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ ความเชื่อของบรรพบุรุษ ความเชื่อเรื่องความฝันบอกเหตุ เชื่อคำทำนายทายทักของโหร เช่น ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสุบินนิมิต จึงตรัสให้หาพระโหราจารย์เพื่อทำนายนิมิต
                                                                ทันใดดิลกเจ้า                       จอมถวัลย์
                                                สร่างผทมถวิลฝัน                                ห่อนรู้
                                                พระหาพระโหรพลัน                           พลางบอก ฝันนา
                                                เร็วเร่งทายโดยกระทู้                           ที่ถ้อยตูแถลง

๔) สะท้อนข้อคิดเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ลิลิตตะเลงพ่ายได้แสดงคุณธรรมด้านต่างๆ ที่มีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิต เช่น ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ความเมตตา ความนอบน้อม การให้อภัย เป็นต้น โดยสอดแทรกอยู่ในบทประพันธ์ ผู้อ่านจะสามารถซึมซับคุณธรรมเหล่านี้ผ่านความงามของภาษา สามารถจรรโลงใจผู้อ่านได้ เช่น ตอนที่พระเจ้านันทบุเรง ทรงสอนการศึกสงครามแก่พระมหาอุปราชา ก็เป็นข้อคิดที่มีคุณค่ายิ่งต่อการดำเนินชีวิตทุกยุคสมัย ตัวอย่างเช่น
                                                                หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้                              สบสถาน
                                                เจนจิตวิทยาการ                                                   กาจแกล้ว
                                                รู้เชิงพิชัยชาญ                                                      ชุมค่าย ควรนา
                                                อาจรักรอนรณแผ้ว                                              แผกแพ้พังหนี
ฯลฯ

                                                                หนึ่งรู้บำเหน็จให้                                ขุนพล
                                                อันสมรรถมือผจญ                                              จืดเสี้ยน
                                                อย่าหย่อนวิริยยล                                                 อย่างเกียจ
                                                แปดประการกลเที้ยร                                          ถ่องแท้ทางแถลง
                วรรณคดีเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย นับเป็นวรรณคดีชั้นสูง ที่ผู้อ่านจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคำศัพท์ยากบางคำมาบ้างแล้ว นอกจากจะมีความไพเราะในด้านวรรณศิลป์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ผู้อ่านยงจะได้รับความรู้ด้านสังคมวัฒนธรรมอีกมาก แต่ผู้อ่านต้องอ่านอย่างตั้งใจ มีการวิเคราะห์และหาความหมายศัพท์ยาก จึงจะสามารถตีความได้อย่างชัดเจนและทำให้เกิดความซาบซึ้งในรสวรรณคดีมากยิ่งขึ้น

บทวิเคราะห์ - ด้านวรรณศิลป์

ด้านวรรณศิลป์


๑) การสรรคำ   ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีมรดกล้ำค่าที่คนไทยควรศึกษาเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในวีรกรรมของนักรบไทยและภูมิใจในภาษาไทยที่กวีใช้ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างมีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ ด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำได้อย่างไพเราะ ดังนี้



๑.๑) การใช้คำที่เหมาะแก่เนื้อเรื่องและฐานะของบุคคล กวีเลือกใช้คำที่แสดงฐานะของบุคคล ดังนี้
                                                         เบื้องนั้นนฤนาถผู้                   สยามินทร์
                                                เบี่ยงพระมาลาผิน                            ห่อนพ้อง
                                                ศัสตราวุธอรินทร์                            ฤาถูก องค์เอย
                                                เพราะพระหัตถ์หากป้อง                 ปัดด้วยขอทรง
                
จากโคลงบทนี้ กวีเลือกใช้คำที่มีศักดิ์คำสูง แสดงให้เห็นภาพเด่นชัดและไพเราะ เช่น
                                นฤนาถ                 หมายถึง     กษัตริย์
                                สยามินทร์             หมายถึง     กษัตริย์สยาม (กษัตริย์อยุธยา)
                                พระมาลา              หมายถึง     หมวก
                                ศัตราวุธอรินทร์    หมายถึง     อาวุธของข้าศึก
                                องค์                       หมายถึง     สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
                                พระหัตถ์               หมายถึง     มือ
                                ขอทรง                  หมายถึง     ขอสับสำหรับบังคับช้าง อยู่ใต้คอของช้าง


๑.๒) การใช้คำโดยคำนึงถึงเสียง ความไพเราะของถ้อยคำหรือความงามของถ้อยคำนั้น พิจารณาที่การใช้สัมผัส การเล่นคำ เล่นความ การเลียนเสียงธรรมชาติ เป็นต้นลิลิตตะเลงพ่ายมีการใช้คำที่มีเสียงเสนาะ ดังนี้

(๑) มีการใช้สัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะในคำประพันธ์ทุกบท ทำให้เกิดความไพเราะ เช่น
                “.....ถับถึงโคกเผาเข้า พอยามเช้ายังสาย หมายประมาณโมงครบ ประทบทัพรามัญ ประทันทัพพม่า ขับทวยกล้าเข้าแทง ขับทวยแขงเข้าฟัน สองฝ่ายยันยืนยุทธ์ อุดอึงโห่เอาฤกษ์ เอิกอึงเห่เอาชัย สาดปืนไฟยะแย้ง แผลงปืนพิษยะยุ่ง พุ่งหอกใหญ่คะคว้าง ขว้างหอกซัดคะไขว่ ไล่คะคลุกบุกบัน เงื้อดาบฟันฉะฉาด งาง้าวฟาดฉะฉับ.....
                สัมผัสสระ  ได้แก่  เข้า เช้า  สาย - หมาย  ครบ ทบ  รามัญ ทัน   พม่า กล้า   แทง แข็ง  ฟัน ยัน  ยุทธ์ อุด  ฤกษ์ เอิก   ชัย ไฟ    แย้ง แผลง     ยุ่ง พุ่ง  คว้าง ขว้าง    ไขว่ ไล่    บัน ฟัน        ฉาด ฟาด
                สัมผัสพยัญชนะ  ได้แก่  ถับ ถึง  โคก เข้า  ยาม ยังหมาย ประมาณ โมง ประทบ ทับ ประทัน ทัพ ขับ เข้า        ทวย แทง  ขับ แขงเข้า ยัน ยืน ยุทธ์  อุด อึง เอา เอิก อึง เอา ยะ แย้ง ยะ ยุ่ง คะ คว้าง  บุกบัน         ฉะ ฉาด ง่า ง้าว ฉะ ฉับ
                                             (๒) มีการใช้สัมผัสพยัญชนะเดียวกันเกือบทั้งวรรค เช่น
                                                กรตระกองกอดแก้ว    เรียมจักร้างรสแคล้ว
                                คลาดเคล้าคลาสมร
                                                จำใจจรจำจากสร้อย    อยู่แม่อย่าละห้อย
                                ห่อนช้าคืนสม                             แม่แล
                วรรคที่ ๑ ได้แก่ กร กอง กอด แก้ว
                วรรคที่ ๒ ได้แก่ เรียม ร้าง รส
                วรรคที่ ๓ ได้แก่ คลาด เคล้า คลา
                วรรคที่ ๔ ได้แก่ อยู่ อยาก
                                            (๓) มีสัมผัสสระในแต่ละวรรคของโคลงแต่ละบาทคล้ายกลบท เช่น
                                                ชาวสยามคร้ามเศิกสิ้น       ทั้งผอง
                                นายและไพร่ไป่ปอง                            รบร้า
                                อพยพหลบหลีกมอง                           เอาเหตุ
                                ซุกซ่อนห่อนให้ข้า                              ศึกได้ไปเป็น

บาทที่ ๑  ได้แก่  สยาม คร้าม
                บาทที่ ๒  ได้แก่  ไพร่ ไป่
                บาทที่ ๓  ได้แก่  อพยพ หลบ  
                บาทที่ ๔  ได้แก่ ซ่อน ห่อน  ได้ ไป
                                            ๔) การเล่นคำ เพื่อให้มีความลึกซึ้งและเกิดอารมณ์กระทบใจผู้อ่านโดยเน้นนัยของคำว่า สายหยุด ว่า ดอกสายหยุดจะหยุดส่งกลิ่นหอมเมื่อล่วงเข้าเวลาสาย แต่ยามสายนั้นก็มิอาจหยุดความรัก ความเสน่หา ที่มีต่อนางอันเป็นที่รักได้ เช่น
                                                สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง        ยามสาย
                                สายบ่หยุดเสน่ห์หาย                          ห่างเศร้า
                                กี่คืนกี่วันวาย                                        วางเทวษ ราแม่
                                ถวิลทุกขวบค่ำเช้า                                หยุดได้ฉันใด
                                (๕) การเล่นเสียงวรรณยุกต์ เช่น
                                                สลัดไดใดสลัดน้อง    แหนงนอน ไพรฤา
                                เพราะเพื่อมาราญรอน                 เศิกไสร้
                                สละสละสมร                              เสมอชื่อ ไม้นา
                                นึกระกำนามไม้                          แม่นแม้นทรวงเรียม
                                            (๖) การเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น
                “....เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้องกลองปืนศึก อีกเอิกก้องกาหล เร่งคำรนเรียกมัน ชันหู ชูหางเล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่.
                           (๗) การใช้คำอัพภาส คือ การซ้ำอักษรลงหน้าคำศัพท์ ทำให้เกิดความไพเราะ เช่น

“...สาดปืนไฟยะแย้ง แผลงปืนพิษยะยุ่ง พุ่งหอกใหญ่คะคว้าง ขว้างหอกซัดคะไขว่ไล่คะคลุกบุกบัน เงื้อดาบฟันฉะฉาด ง่าง้าวฝาดฉะฉับ...
                ๒) การใช้โวหาร กวีเลือกใช้ถ้อยคำในการบรรยาย พรรณนาและเปรียบเทียบได้อย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง ทำให้ผู้อ่านมองเห็นภาพชัดเจน ดังนี้
                                            ๒.๑) การใช้คำให้เกิดจินตภาพ เช่น การใช้คำที่แสดงให้เห็นภาพการต่อสู้อย่างห้าวหาญของพลทหารทั้งสองฝ่ายที่ผลัดกันรุกรับขับเคี่ยวกันด้วยอาวุธหลากหลายทั้งขอ ง้าว ทวน หอก ธนู จนต่างฝ่ายล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ดังตัวอย่าง
                ...คนต่อคนต่อรบ ของ้าวทบทะกัน ต่างฟันต่างป้องปัด วางสนัดหลังสาร  ขานเสียงคึกกึกก้อง  ว่องต่อว่องชิงชัย ไวต่อไวชิงชนะ             ม้าไทยพะม้ามอญ   ต่างเข้ารอนเข้าโรม ทวนแทงโถมทวนทบ  หอกเข้ารบรอหอก  หลอกล่อไล่ไขว่แคว้ง  แย้งธนูเหนี่ยวแรง ห้าวต่อห้าวหักหาญ  ชาญต่อชาญหักเชี่ยว  เรี่ยวต่อเรี่ยวหักแรง แขงต่อแขงหักฤทธิ์   ต่างประชิดฟอนฟัน  ต่างประชันฟอนฟาด  ล้วนสามารถมือทัด  ล้วนสามรรถมือทาน  ผลาญกันลงเต็มหล้า   ผร้ากันลงเต็มแหล่ง  แบ่งกันตายลงครัน ปันกันตายลงมาก ตากเต็มท่งเต็มเถื่อน   ตากเต็มเผื่อนเต็มพง
                นอกจากนี้ผู้แต่งใช้คำพรรณนา การสู้รบ ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพช้างทรงของทั้งสองพระองค์ต่างสะบัดเหวี่ยงกันไปมา ผลัดเปลี่ยนกันได้ทีแต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรได้ล่าง พระมหาอุปราชาก็เพลี่ยงพล้ำ สมเด็จพระนเรศวรฟันพระมหาอุปราชาด้วยพระแสงของ้าวขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์ทันที พระวรกายของพระมหาอุปราชาค่อยๆแอนลงซบกับคอช้างและสิ้นพระชนม์บนคอช้างนั่นเอง ตอนนี้นอกจากจะเห็นภาพการรบอย่างสง่างามแคล่วคล่องว่องไวสมเป็นกษัตริย์ของทั้งสองพระองค์ช่วงสุดท้ายยังเห็นภาพการสิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชาที่ค่อยๆเอนพระองค์ลงซบกับคอช้าง เป็นภาพที่หดหู่และสะเทือนใจ ดังตัวอย่าง
                                                                พลอยพล้ำเพลียกถ้าท่าน    ในรณ
                                                บัดราชฟาดแสงพล                             พ่ายฟ้อน
                                                พระเดชพระแสดงดล                        เผด็จคู่ เข็ญแฮ
                                                ถนัดพระอังสาข้อน                            ขาดด้าวโดยขวา
                             ๒.๒) การใช้โวหารโดยการเปรียบเทียบ  ว่าสมเด็จพระนเรศวรมีฤทธิ์เหมือนพระรามยามต่อสู้กับทศกัณฐ์ ข้าศึกศัตรูที่พ่ายแพ้ไปเหมือนพลยักษ์ สมเด็จพระนเรศวรก็เหมือนองค์พระนารายณ์อวตารลงมา ดังตัวอย่าง

บุญเจ้าจอมภพขึ้น               แผ่นสยาม
                                                แสยงพระยศยินขาม                           ขาดแกล้ว
                                                พระฤทธิ์ดั่งฤทธิ์ราม                          รอนราพณ์ แลฤา
                                                ราญอริราชแผ้ว                                    แผกแพ้ทุกภาย
                                                                ไพรินทรนาศเพี้ยง              พลมาร
                                                พระดั่งองค์อวตาร                               แต่กี้
                                                แสนเศิกห่อนหาญราญ                      รอฤทธิ์ พระฤา
                                                ดาลตระดกเดชลี้                                  ประลาตหล้าแหล่งสถาน
                              ๒.๓) การใช้ถ้อยคำสร้างอารมณ์และความรู้สึก แม้ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ แต่ด้วยความปรีชาในด้านภาษาอย่างลึกซึ้งของกวี กวีสามารถใช้ถ้อยคำ ทำให้ผู้อ่านเกิดความสะเทือนอารมณ์ เกิดความรู้สึกเห็นใจ เศร้าใจ ดีใจ ภูมิใจ ได้ตามจุดมุ่งหมายของกวี ดังนี้
                                                            ๑) การใช้ถ้อยคำให้เกิดความรู้สึกเห็นใจ เช่น ตอนที่พระมหาอุปราชาเคลื่อนกระบวนทัพ ขณะเดินทางมีการชมธรรมชาติ ชมพันธุ์ไม้ต่างๆ โดยการนำชื่อต้นไม้และดอกไม้มาเล่นคำให้สอดคล้องกับอารมณ์และความรู้สึกของพระมหาอุปราชาได้อย่างไพเราะ
                                                                สลัดไดใดสลัดน้อง             แหนงนอน ไพรฤา
                                                เพราะเพื่อมาราญรอน                        เศิกไสร้
                                                สละสละสมร                                       เสมอชื่อ ไม้นา
                                                นึกระกำนามไม้                                   แม่นแม้นทรวงเรียม
                                                                ไม้โรกเหมือนโรคเร้า           รุมกาม
                                                ไฟว่าไฟราคลาม                                  ลวกร้อน
                                                นางแย้มหนึ่งแย้มยาม                          เยาว์ยั่ว แย้มฤา
                                                ตูมดั่งตูมตีข้อน                                    อกอั้นกันแสง

                                                                สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง            ยามสาย
                                                สายบ่หยุดเสน่ห์หาย                             ห่างเศร้า
                                                กี่คืนกี่วันวาย                                        วางเทวษ ราแม่
                                                ถวิลทุกขวบค่ำเช้า                                หยุดได้ฉันใด
                                           (๒) การใช้ถ้อยคำเกิดอารมณ์สะเทือนใจ ดังปรากฏตอนที่พระมหาอุปราชาลา
พระสนม
                                                                พระผาดผายสู่ห้อง              หาอนุชนวลน้อง
                                                หนุ่มเหน้าพระสนม
                                                                ปวงประนมนบเกล้า           งามเสงี่ยมเฟี้ยมเฝ้า
                                                อยู่ถ้าทูลสนอง
                                                                กรตระกองกอดแก้ว            เรียมจักร้างรสแคล้ว
                                                คลาดเคล้าคลาสมร
                                                                จำใจจรจากสร้อย อยู่แม่อย่าละห้อย
                                                ห่อนช้าคืนสม แม่แล
                                            (๓) การใช้ถ้อยคำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด เช่น ตอนพระมหาอุปราชาทูลพระเจ้าหงสาวดีว่าจะมีเคราะห์ไม่ต้องการออกรบ จึงถูกพระเจ้าหงสาวดีกล่าวประชดด้วยถ้อยคำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดอับอายว่าให้เอาเครื่องแต่งกายหญิงมาสวมใส่
                “...ฟังสารราชเอารส ธก็ผะชดบัญชา เจ้าอยุธยามีบุตร ล้วนยงยุทธ์เชี่ยวชาญ หาญหักศึกบมิย่อ ต่อสู้ศึกบมิหยอน ไป่พักวอนว่าใช้ ให้ธหวงธห้าม แม้นเจ้าคร้ามเคราะห์กาจ จงอย่ายาตรยุทธนา เอาพัสตราสตรี สวมอินทรีย์สร่างเคราะห์ ธตรัสเยาะเยี่ยงขลาด องค์อุปราชยินสาร แสนอัประมาณมาตย์มวล นวลพระพักตร์ผ่องเผือด เลือดสลดหมดคล้ำ ช้ำกมลหมองมัว..
                                           (๔) การใช้ถ้อยคำแสดงความโศกเศร้า เช่นตอนที่พระมหาอุปราชาต้องจากพระสนมและเดินทัพ เมื่อเห็นสิ่งใดก็คิดถึงนางอันเป็นที่รัก การคล่ำครวญของพระมหาอุปราชา ทำให้ผู้อ่านเห็น

ใจในความรักของพระมหาอุปราชา ดังปรากฏในตอนที่พระมหาอุปราชาเห็นต้นไม้ ดอกไม้ แล้วรำพันถึงพระสนม
                                                                มาเดียวเปลี่ยวอกอ้า             อายสู
                                                สถิตอยู่เอ้องค์ดู                                   ละห้อย
                                                พิศโพ้นพฤกษ์พบู                               บานเบิก ใจนา
                                                พลางคะนึงนุชน้อย                            แน่งเนื้อนวลสงวน
                                                                พระครวญพระคร่ำไห้        โหยหา
                                                พลางพระพิศพฤกษา                          กิ่งเกี้ยว
                                                กลกรกนิษฐนา-                                   รีรัตน์ เรียมฤา
                                                ยามตระกองเอวเอี้ยว                          โอบอ้อมองค์เรียม