ตอน ๔
สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร
โคลง๔
ปางนั้นนฤเบศเบื้อง บูรพา ภพแฮ
เฉลิมพิภพอโยธยา ยิ่งผู้
พระเดชดั่งรามรา- ฆพเข่น เข็ญเฮย
ออกอเรนทร์รั่วรู้ เร่งร้าวราญสมร
ภูธรสถิตท้อง โรงธาร ท่านฤๅ
เถลิงภิมุขพิมาน มาศแต้ม
มนตรีชุลีกราน กราบแน่น
เนืองนา
บัดบดีศวรแย้ม โอษฐ์เอื้อนปราศรัย
ไต่ถามถึงทุกข์ถ้อย ทวยชน
ต่างสนองเสนอกล แก่ท้าว
พระดัดคดีผล ใดเยี่ยง ยุกดิ์นา
เย็นอุระฤๅร้าว ราษฎร์ร้อนห่อนมี
นฤบดีดำรัสด้วย การยุทธ์
ซึ่งจักยอกัมพุช แผ่นโพ้น
พลบกยกเอาอุต- ดมโชค ชัยนา
นับดฤษถีนี้โน้น แน่นั้นวันเมือ
พลเรือพลรบท้อง ทางชลา
เกณฑ์แต่พลพารา ปักษ์ใต้
ไปตีพุทไธธา- นีมาศ
เมืองเฮย
ตีป่าสักเสร็จให้ เร่งล้อมขอมหลวง
พระห่วงแต่เสี้ยน อัสดง
เกรงกระลับก่อรงค์ รั่วหล้า
คือใครจักคุมคง ควรคู่
เข็ญแฮ
อาจประกันกรุงถ้า ทัพข้อยคืนถึง
พระพึงพิเคราะห์ผู้
ภักดี ท่านนา
คือพระยาจักรี กาจแกล้ว
พระตรัสแด่มนตรี มอบมิ่ง เมืองเฮย
กูจักไกลกรุงแก้ว เกลือกช้าคลาคืน
เยียวพื้นภพแผ่นด้าว
ตกไถง
ริพิบัติพูนภัย
เพิ่มพ้อง
สูกันนครใจ
ครอเคร่า กูเฮย
กูจักพลันคืนป้อง
ปกหล้าแหล่งสยาม
สงครามพึ่งแผกแพ้
เสียที
แตกเมื่อต้นปีไป
ห่อนช้า
บร้างกระลับมี
มาขวบ
นี้เลย
มีก็มีปีหน้า
แน่แท้กูทาย
ทั้งหลายสดับถ้อยท่าน
บรรหาร หนเฮย
ยังบ่เยื้อนสนองสาร
ใส่เกล้า
บัดทูตนครกาญ-
จนถับ ถึงแฮ
พระยาอามาตย์นำเฝ้า
บอกเบื้องเคืองเข็ญ
ฯลฯ
โคลง๒
พระเปรมปราโมทย์ไซร้
ซึ่งบดินทร์ดาลได้
สดับเบื้องบอกรงค์
ธให้หาองค์น้องท้าว
แถลงยุบลเหตุห้าว
ท่านแจ้งทุกอัน แลนา
ถอดความ
สมเด็จพระนเรศวรมีพระราชดำรัสถามถึงทุกข์สุขของปวงชน
ขุนนางก็กราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์ทรงตัดสินคดีด้วยความยุติธรรม
ราษฎรก็อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข จากนั้นมีพระราชดำรัสถึงการที่จะยกทัพไปตีเขมร
โดยกำหนดวันที่จะยกทัพออกไป ส่วนทัพเรือจะให้เกณฑ์หัวเมืองปักษ์ใต้เพื่อยกไปตีเมืองพุทไธมาศและเมืองป่าสัก
แล้วให้เข้าล้อมเมืองหลวงของเขมรไว้ พระองค์ทรงพระวิตกว่า พม่าจะยกกองทัพมา
จึงได้ให้ผู้แทนพระองค์อยู่ป้องกันบ้านเมืองรอพระองค์เสด็จกลับมา
ทรงเห็นว่าพระยาจักรีเป็นผู้ที่เหมาะสมก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาบ้านเมือง แต่ทรงคาดคะเนว่าทัพพม่าพึ่งจะแตกไปเมื่อต้นปี
คงจะยังไม่ยกมาในปีนี้ หากมีก็เห็นจะเป็นปีหน้าขณะที่ทรงปรึกษากันอยู่นั้น
ทูตเมืองกาญจนบุรีก็มาถึง และกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ
พระองค์กลับทรงยินดีที่ได้รับข่าวศึก
จึงให้พระเอกาทศรถเข้าเฝ้าเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ
ตอน ๕
สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ
ร่าย
แล้วธบรรหารตระบัด
ว่าเราจัดจตุรงค์ จะไปยงยอยุทธ์ ยังกัมพุชพารา ศึกมอญมาชิงควัน กันบให้ไปออก
บอกให้เต้าโดยตก ควรจักยกไปยุทธ์ เป็นมหุสสวมหันต์ ปันเอาชัยชิงชื่น
แล้วธก็อื้นออกพจน์ พระราชกฎประกาศ แก่เมืองราชบุรี เกณฑ์โยธีห้าร้อย
คะค้อยไปซุ่มซ่อน ดูศึกผ่อนพลเดิน ผ่านลำกระเพินโดยสะพาน เพ่งพลหาญเห็นเสร็จ
ให้ระเห็จเข้าหั่น บั่นเรือกขาดเป็นท่อน ค่อนพวนขาดเป็นทุ่น เถกิงกรานกรุ่นพลวกเผา
อย่าให้เขาจับได้ เขากระดั่งไท้ ธิราชเอื้อนโองการ สั่งนา
โคลง๔
นฤบาลสารเสร็จอ้าง ไป่ทัน หึงแฮ
ถับทูตทุกเขตขัณฑ์ ด่านด้าว
สิงห์สรรค์สุพรรณบรร-
ลุถิ่น ท่านนา
เขาเร่งนำเฝ้าท้าว
ถั่งถ้อยแถลงทูล
บดีศูรสั่งให้อ่าน สารา
พระราชรับบัญชา
ท่านไซร้
แถลงลักษณะทุกธา-
นีบอก มานา
เสนอยุบลข่าวใกล้
ศึกตั้งในแดน
บัดมอญแล่นม้าลาด
เลยแขวง
วิเศษชัยชาญแสดง
ข่าวซ้ำ
เขานำอักษรแถลง
ถวายดับ นั้นนา
พระเร่งชื่นฤๅช้ำ
ที่ข้อเข็ญความ
จอมสยามขามศึกไซร้
ไป่มี
บานกลเปรมปรีดิ์
ปราบเสี้ยน
สองสุริยกษัตริย์
ตรัสต่อ กันแฮ
หาเลศมลายศึกเหี้ยน
หั่นห้าวหายคม
สมเด็จเผยโอษฐ์อื้น
ปรึกษา
แด่ภิมุขมาตยา
ทั่วผู้
จักโรมอริรา-
มัญเมื่อ
นี้แฮ
รับที่ถิ่นฤๅสู้
นอกไซร้ไหนควร
ทั้งมวลหมู่มาตย์ซ้อง
สารพลัน
ทูลพระจอมจรรโลง
เลื่องหล้า
แถลงลักษณะปางบรรพ์
มาเทียบ
ถวายแฮ
แนะที่ควรเสด็จค้า
เศิกไซร้ไกลกรุง
ฯลฯ
โทไท้ทรงสดับถ้อย
ทูลถวาย
ถูกหฤทัยท่านผาย
โอษฐ์พร้อง
สูตริก็ตรงหมาย
เหมือนตริ ตูนา
ตริบ่ต่างกันต้อง
ต่อน้ำใจตู
ภูธรสั่งให้เทียบ
โยธี ทัพแฮ
ห้าหมื่นหมายบัญชี
เรียกได้
เกณฑ์เมืองจัตวาตรี
ไตรตรวจ
เอานา
ยี่สิบสามเมืองใต้
เตรียบตั้งต่อฉาน
บรรหารให้จัดผู้
อาจอง
เอาพระศรีไสยณรงค์
ฤทธิ์ห้าว
เป็นจอมพยุหยง
ไปยั่ว ยุทธแฮ
นำนิกรทัพท้าว
ออกร้ารอนเข็ญ
พระเห็นจักเปลี่ยวข้าง
ขุนพล
เยียวบ่มีเพื่อนผจญ
จึ่งใช้
พระราชฤทธานนท์
หนึ่งช่วย
กันนา
เป็นปลัดทัพให้
ศึกสู้ทั้งสอง
กองหน้านฤนาทตั้ง เสร็จสาร สั่งแฮ
เร็วเร่งห้ำหั่นหาญ หักกล้า
บ่แตกต้านทาน มันรอด
ไซร้ฤๅ
กูจักออกโรมร้า
ศึกร้ายภายหลัง
ทั้งสองรับถ้อยท่าน
ทูลลา
แลเฮย
ยกพยุหแสนยา
ย่างย้าย
โดนแดนทุกราธวา
วายถิ่น
ถึงนี่หนองสาหร่ายท้าย
ทุ่งกว้างทางหลวง
ปวงทัพปลูกค่ายสร้าง
กลางสมร
ภูมิพยุหไกรสร
ศึกตั้ง
เสนาพลากร
ต่างรื่น เริงแฮ
คอยจักยอยุทธ์ยั้ง
อยู่ถ้าทางเข็ญ
ถอดความ
สมเด็จพระนเรศวรมีพระราชดำรัสว่า
พระองค์เตรียมทัพจะไปตีเขมรแต่ ศึกมอญกลับมาชิงตัดหน้า
จึงมีรับสั่งให้ประกาศแก่เมืองราชบุรีให้เกณฑ์ทหารจำนวน 500
คน ไปซุ่มดูข้าศึกขณะกำลังข้ามสะพานที่ลำกระเพิน ตัดสะพานให้ขาด
จุดไฟเผาอย่าให้เหลือ แล้วให้หลบหนีกลับมาอย่าให้ข้าศึกจับได้ พอรับสั่งเสร็จ
ทูตจากเมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองสุพรรณบุรี
เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลและถวายสารให้ทรงทราบว่ากองทัพมอญลาดตระเวน เข้ามาถึงเขตเมืองวิเศษไชยชาญ
สมเด็จพระนเรศวรโสมนัสที่จะได้ปราบข้าศึก
ทั้งสองพระองค์ปรึกษาถึงกลศึกที่จะรับมือกับมอญ
ขุนนางได้ถวายคำแนะนำให้ออกไปรับข้าศึกนอกกรุงศรีอยุธยา
ซึ่งตรงกลับพระดำริของพระองค์ แล้วมีรับสั่งให้จัดทัพกำลังพลห้าหมื่น
เกณฑ์จากหัวเมืองตรีและจัตวา จำนวน 23 หัวเมืองใต้
เป็นทัพหน้า ให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพ พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพ
โดยให้กองหน้าออกไปต่อสู้ข้าศึก หากสู้ไม่ได้พระองค์จะออกไปต่อสู้ในภายหลัง
แม่ทัพรับพระบรมราชโองการแล้วก็ยกทัพไปตั้งอยู่ตำบลหนองสาหร่าย
โดยตั้งค่ายแบบพยุหไกรสร(สีหนาม)
ชัยภูมิพยุหะ
หมายถึง การจัดตั้งค่ายหรือการสังเกตภูมิประเทศที่จะตั้งค่ายตามตำราพิชัยสงคราม
มีดังนี้
๑.
ครุฑนาม ตั้งค่ายบริเวณที่มีจอมปลวกและมีต้นไม้ใหญ่ 1 ต้น
๒.
พยัคฆนาม ตั้งค่ายบริเวณแนวป่าริมทาง
๓.
สีหนาม ตั้งค่ายบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ 3
ต้นเรียงกันขึ้นบนภูเขาหรือจอมปลวก
๔.
สุนัขนาม ตั้งค่ายตามรายทางใกล้บ้านคน
๕.
มุสิกนาม ตั้งค่ายบริเวณที่เป็นดินโพรง(ดินโป่ง)
๖.
อัชนาม ตั้งค่ายกลางทุ่งหญ้าที่เลี้ยงสัตว์
๗.
นาคนาม ตั้งค่ายใกล้ห้วย คลองน้ำไหล
๘.
คชนาม ตั้งค่ายบริเวณที่มีหญ้า ป่าไผ่หรือป่าหนาม
ตอน ๖ พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ
ร่าย
กษณะนั้นนเรนทร์ไท้
ธให้โหรหามมหุติฤกษ์ ซึ่งจะเบิกพยุหบาตรา จึ่งพระโหราผู้รู้โศลก หลวงญาณโยคโลกทีป
รีบคำนวณทำนาย ถวายพยากรณ์แก่ไท้ ท้าวธได้จัตุรงคโชค อาจปราบโลกลาญรงค์
เชิญบาทบงสุ์เสด็จคลา จากอโยธยายามเช้า เข้ารวิวารมหันต์
วันสิบเอ็ดขึ้นค่ำย่ำรุ่งสองนาฬิกา เศษสังขยาห้าบาท ในบุษยมาสดฤษถี
ศรีสวัสดิ์ฤกษ์อุดม บรมนรินทร์ดาลสดับ ธให้ตรวจทัพเตรียมพล โดยชลมารคพยู่ห์
สู่ตำบลปากโมก ครั้นณวันโชควันยาม พยุหสงครามเขาตรวจ ทุกหมู่หมวดสรรพเสร็จ
จึ่งสมเด็จภูวนาถ กับบรมราชอนุชา ธก็สรงธาราเสาวรภย์ ตรลบสุคนธกำจร ทรงบวรวิภูษา
รัตพัสตราครูเนตร ชายแครงเทศเถือกพร้อย ชายไหวห้อยเห็นเพรา พิศสนับพลายรรยง
ฉลองพระองค์แลเลิศ ทับทรวงเพริศพรายพริ้ง สะอิ้งรัตนไพฑูรย์ แก้วเกยูรสวมหัตถ์
แสงนพรัตน์มลังเมลือง เรืองธำมรงค์รุ้งร่วง ช่วงพรรเหาเก้าแก้ว
แพร้วพรายนิ้วอัษฎางค์ พลางสองกษัตริย์สวมทรง อลงกตกาญจนมกุฎ แสงเพชรผุดพุ่งแพร้ว
แก้เก้ากอบแกมมาศ นาดกรกรายทายธนู ดูสองเจ้าจอมสยาม เฉกลักษณ์รามรอนราพณ์
ปราบอเรนทร์ทุกด้าว พลางบพิตรไทท้าว ท่านเยื้องยังฉนวน น้ำนาฯลฯ
โคลง๔
ครั้นควรพิชัยฤกษ์พร้อม
เพรียงสมัย
โหรคระหึมฆ้องชัย
กึกก้อง
พฤฒิพราหมณ์พรอกมนตร์ไสย
สังข์เป่า ถวายนา
แตรตรลบเสียงซ้อง
แซ่ซั้นบรรสาน
ฯลฯ
ร่าย
พลันขยายพยุหบาตรา
คลาเข้าโขลนทวาเรศ สงฆ์สวดชเยศพุทธมนต์ ปรายประชลเฉลิมทัพ ตามตำรับราชรณยุทธ์
โบกกบี่ธุชคลาพล ยลนาวาดาดาษ ดูสระพราศสระพรั่ง คั่งคับขอบคงคา แลมเหาฬาร์พันลึก
อธึกท้องแถวธาร ถับถึงสถานปากโมก จึ่งพระจอมโลกลือเดช เสด็จเถลิงนิเวศวังทาง
พลางธให้ตรวจเตรียมพล โดยสถลพยุหบาตร บอกพระราชกำหนด กฎแก่ขุนทัพขุนพล
จักยกหพลยาตรา ในเวลาล่วงค่ำ ย่ำสิบเอ็ดสามบาท ครั้นเข้าราษตรีสมัย ภูวไนยตรัสตริการ
ซึ่งจะรอนราญอริราช ด้วยภิมุขมาตยากร จนจันทรลับเลื่อน เคลื่อนเข้าตติยยาม
เจ้าจอมสยามไสยาสน์ เหนือบรมอาสน์ก่องแก้ว คล้ายคล้ายสิบทุ่มแคล้ว
ท่านเคลิ้มหลับฝัน ใฝ่นา
โคลง๔
เทวัญแสดงเหตุให้
สังหรณ์ เห็นแฮ
เห็นกระแสสาคร หลั่งล้น
ไหลลบวนาดอน แดนตก
ทิศนา
พระแต่เพ่งฤๅพ้น ที่น้ำหนองสาย
พระกรายกรย่างเยื้อง จรลี
ลุยมหาวารี เรี่ยวกว้าง
พอพานพะกุมภีล์ หนึ่งใหญ่
ไสร้นา
โถมปะทะเจ้าช้าง จักเคี้ยวขบองค์
พระทรงแสงดาบแก้ว กับกร
โจมประจักฟันฟอน เฟื่องน้ำ
ต่างฤทธิ์ต่างรบรอบ ราญชีพ
กันแฮ
สระท้านทุกถิ่นท่าถ้ำ ท่งท้องชลธี
นฤบดีโถมถีบสู้
ศึกธาร
ฟอนฟาดสุงสุมาร
มอดม้วย
สายสินธุ์ซึ่งนองพนานต์
หายเหือด แห้งแฮ
พระเร่งปรีดาด้วย
เผด็จเสี้ยนเศิกกษัย
ทันใดดิลกเจ้า จอมถวัลย์
สร่างผทมถวิลฝัน ห่อนรู้
พระหาพระโหรพลัน พลางบอก
ฝันนา
เร็วเร่งทายโดยกระทู้ ที่ถ้อยตูแถลง
พระโหรเห็นแจ้งจบ
ในมูล ฝันแฮ
ถวายพยากรณ์ทูล
แต่ไท้
สุบินบดินทร์สูร
ฝันใฝ่ นั้นฤๅ
หากเทพสังหรณ์ให้
ธิราชรู้เป็นกล
นุสนธิ์ซึ่งน่านน้ำ
นองพนา สณฑ์เฮย
หนปัจฉิมทิศา
ท่วมไซร้
คือทัพอริรา-
มัญหมู่ นี้นา
สมดั่งลักษณ์ฝันไท้
ธเรศนั้นอย่าแหนง
เหตุแสดงแห่งราชพ้อง
ภัยชลา
ได้แก่อุปราชา
เชษฐ์ผู้
สงครามซึ่งเสด็จครา
นี้ใหญ่ หลวงแฮ
แท้จักถึงยุทธ์สู้
ศึกช้างสองชน
ซึ่งผจญอริราชด้วย
เดชะ
เพื่อพระเดโชชนะ
ศึกน้ำ
คือองค์อมิตรพระ
จักมอด เมือเฮย
เพราะพระหัตถ์หากห้ำ
หั่นด้วยขอคม
เบื้องบรมขัตติย์ท่องท้อง
แถวธาร
พระจักไล่ลุยลาญ
เศิกไสร้
ริปูบ่รอราญ
ฤทธิ์ราช เลยพ่อ
พระจักชาญชเยศได้
ดั่งท้าวใฝ่ฝัน
โคลง ๒
ครั้นบดินทร์ดาลได้
สดับพยากรณ์ไท้
ธิราชแผ้วพูนเกษม
เปรมปรีดิ์ปราโมทย์แท้ เพราะพระโหรหากแก้
กล่าวต้องตามฝัน
พระพลันทรงเครื่องต้น
งามประเสริฐเลิศล้น
แหล่งหล้าควรชม
ชื่นนา
สมเด็จอนุชน้องแก้ว
ทรงสุภาภรณ์แพร้ว
เพริศพร้อมเพราตา
ยิ่งแฮ
ร่าย
สองขัติยายุรยาตรา ยังเกยราชหอทัพ
ขุนคชขับช้างเทียบ ทวยหาญเพียบแผ่นภู ดูมหิมาดาดาษ สระพราศพร้อมโดยขบวน
องค์อดิศวรสองกษัตริย์ คอยนฤขัตรพิชัย บัดเดี๋ยวไททฤษฎี พระศรีสารีริกบรมธาตุ
ไขโอภาสโศภิต ช่วงชวลิตพ่างยล ส้มเกลี้ยงกลลุก่อง ฟ่องฟ้าฝ่ายทักษิณ ผินแวดวงตรงทัพ
นับคำรบสามครา เป็นทักษิณาวรรตเวียน ว่ายฉวัดเฉวียนอัมพร ผ่านไปอุดรโดยด้าว
พลางบพิตรโทท้าว ท่านตั้งสดุดี อยู่นาฯลฯ
โคลง๔
พระเปรมปราโมทย์น้อม วันทนา
พลางพระทรงไอยรา ฤทธิ์แกล้ว
พระคเชนทร์ชื่อไชยา- นุภาพ
พ้นแฮ
อาจเข่นคชศึกแผ้ว แผกแพ้ทุกภาย
พลายปราบไตรจักรอ้าง
เอิกฤทธิ์
อาจปราบคชทุกทิศ
ทั่วไซร้
เอกาทศรถอิศ-
วรเสด็จ ทรงนา
นำคเชนทเรศไท้
ธิราชเจ้าจอมสยาม
ฯลฯ
ถอดความ
ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรก็มีรับสั่งให้โหรหาฤกษ์ที่จะยกทัพหลวงไป
หลวงญาณโยคและหลวงโลกทีปคำนวณพระฤกษ์ว่า พระนเรศวรได้จตุรงคโชค
อาจปราบข้าศึกให้แพ้สงครามไป ขอเชิญเสด็จยกทัพออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือนยี่ เวลา 8 นาฬิกา 30 นาที เมื่อได้มงคลฤกษ์ ทรงเคลื่อนพยุหยาตรา เข้าโขลนทวาร
พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่กองทัพเสด็จทางชลมารคไปประทับแรมที่ตำบลปากโมก
เมื่อประทับที่ปากโมก สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษาการศึกอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่จนยามที่สามจึงเสด็จเข้าที่บรรทม
ครั้นเวลา 4 นาฬิกา พระองค์ทรงพระสุบินเป็นศุภนิมิต
ในพระสุบินของสมเด็จพระนเรศวรมีว่า
พระองค์ได้ทอดพระเนตรน้ำไหลบ่าท่วมป่าสูง ทางทิศตะวันตก เป็นแนวยาวสุดพระเนตร
และพระองค์ทรงลุยกระแสน้ำอันเชี่ยวและกว้างใหญ่นั้น จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งโถมปะทะและจะกัดพระองค์
จึงต่อสู้กันขึ้น พระองค์ใช้พระแสงดาบฟันถูกจระเข้ตาย
ทันใดนั้นสายน้ำก็เหือดแห้งไป พอตื่นบรรทมทรงมีรับสั่งให้โหรทำนายทันที
พระโหราธิบดีถวายพยากรณ์ว่า
พระสุบินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเทวดาสังหรให้ทราบเป็นนัย น้ำซึ่งไหลบ่าท่วมป่าทางทิศตะวันตกหมายถึงกองทัพของมอญ
จระเข้คือพระมหาอุปราชา สงครามครั้งนี้อาจ ได้กระทำยุทธหัตถีกัน
การที่พระองค์เอาชนะจระเข้ได้แสดงว่าศัตรูของพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตด้วยพระแสงของ้าว
และที่พระองค์ทรงกระแสน้ำนั้น หมายความว่า พระองค์จะรุกไล่บุกฝ่าไปจนข้าศึกแตกพ่ายไปไม่อาจจะทานพระบรมเดชานุภาพได้
พอใกล้ฤกษ์ยกทัพ สมเด็จพระนเรศวร และพระเอกาทศรถเสด็จไปยังเกยทรงช้างพระที่นั่ง
คอยพิชัยฤกษ์อยู่ทันใดนั้นพระองค์ทอดพระเนตรพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงเรืองงาม
ขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้หมุนเวียนรอบกองทัพเป็นทักษิณาวรรต 3 รอบ แล้วลอยวนไปทางทิศเหนือ
สมเด็จพระพี่น้องทั้งสองพระองค์ทรงปิติยินดีตื้นตันพระทัย ทรงสรรเสริญและนมัสการ
อธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุนั้นบันดาลให้พระองค์ชนะข้าศึก
แล้วสมเด็จพระนเรศวรเสด็จประทับช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพ สมเด็จพระเอกาทศรถ
เสด็จประทับช้างทรงเจ้าพระยาปราบไตรจักร แล้วเคลื่อนขบวนทัพ
ศลก หมายความว่า เกียรติ คำขับร้องสรรเสริญ ในที่นี้หมายถึง โฉลก แปลว่า
โชค หรือโอกาส
จตุรงคโชค
คือโชคประกอบด้วยองค์สี่ ซึ่งโหรคำนวณได้ตกที่ดีสี่ประการ คือ
๑.
โชคดี เพราะไม่ทันได้ยกทัพไปตีเขมร
๒.
วันเดือนปีดี เพราะเตรียมจะไปตีเขมรอยู่แล้ว
๓.
กำลังทหารเข้มแข็ง เพราะเตรียมจะไปตีเขมรอยู่แล้ว
๔.
เสบียงอาหารบริบูรณ์ เพราะเตรียมจะไปตีเขมรอยู่แล้ว
วาร
เป็นชื่อเรียกวันทั้งเจ็ดตามตำราโหราศาสตร์ ดังนี้
๑. รวิวารหรืออาทิตยวาร คือ วันอาทิตย์
๒. ศศิวารหรือจันทรวาร คือ วันจันทร์
๓. ภุมวารหรืออังคารวาร คือ วันอังคาร
๔. วุธวาร คือ วันพุธ
๕. ครุวารหรือชีววาร คือ วันพฤหัสบดี
๖. ศุกรวาร คือ วันศุกร์
๗. โสรวารหรือศนิวาร คือ วันเสาร์
นิมิต
คือความฝันตามคติโบราณมี ๔ อย่าง
ตามความเชื่อโบราณ ความฝันที่เป็นจริงได้คือ
บุพนิมิตและเทพสังหร ซึ่งเกิดขึ้นในยามสุดท้ายเท่านั้น
๑. บุพนิมิต หมายถึง ฝันบอกลางที่จะเกิดขึ้น
๒. จิตนิวรณ์ หมายถึง ฝันที่เกิดจากความกังวลใจ
๓. เทพสังหร หมายถึง ฝันที่เกิดจากเทวดาบันดาล
๔. ธาตุโขภ หมายถึง ฝันที่เกิดจากธาตุในเรือนกายผิตปกติ
การแบ่งเวลาในสมัยโบราณ
กลางวัน นับตั้งแต่ ๐๖.๐๐ – ๑๘.๐๐ นาฬิกา
กลางคืน นับตั้งแต่ ๑๘.๐๐ – ๐๖.๐๐ นาฬิกา
ในเวลากลางคืนจะแบ่งเวลาออกเป็น
๔ ยามคือ
ปฐมยาม
ตั้งแต่ ย่ำค่ำ ไปจนถึง ๓ ทุ่ม (
๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ นาฬิกา)
ทุติยยาม
ตั้งแต่ ๓ ทุ่ม ไปจนถึง ๖ ทุ่ม (
๒๑.๐๐ – ๒๔.๐๐ นาฬิกา)
ตติยยาม
ตั้งแต่ ๖ ทุ่ม ไปจนถึง ๙ ทุ่ม ( ๒๔.๐๐ – ๐๓.๐๐ นาฬิกา)
ปัจฉิมยาม
ตั้งแต่
๙ ทุ่ม ไปจนถึง ย่ำรุ่ง ( ๐๓.๐๐ –
๐๖.๐๐ นาฬิกา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น