วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

เนื้อเรื่อง ตอนที่ ๗ - ๙

ตอน ๗ พระมหาอุปราชาปรึกษาการศึกแล้วยกเข้าปะทะฯ




ร่าย
                 ฝ่ายกองตระเวนรามัญ อันขุนศึกธใช้ ให้เอาม้ามาลาด คอยข่าวราชริปู ดูทัพชาวพระนคร จักออกรอนออกรบ จักออกทบออกทาน เอากาการมาบอก แม้บออกต่อติด จักประชิดเมืองถึง จึงสมิงอะคร้านขุนกอง รองสมิงเป่อปลัดทัพ กับสมิงซายม่วน ทั้งสามด่วนเดินพล พวกพหลหมู่ม้า ห้าร้อยมามองความ ยลสยามยาตราทัพ อยู่ท่ารับรายค่าย ขอบหนองสหร่ายเรียบพยูห์ ดูกองหน้ากองหลวง แลทั้งปวงทราบเสร็จ เร็วระเห็จไปทูล แด่นเรศรอุปราช ครั้นพระบาทได้สดับ ธ ก็ทราบสรรพโดยควร ว่านเรศวรกษัตรา กับเอกาทศรุถ ยกมาแย่งรงค์ แล้วพระองค์ตรัสถาม สามสมิงนายกอง ถ้าจักประมาณพลไกร สักเท่าใดดูตระหนัก ตรัสซ้ำซักเขาสนอง ว่าพลผองทั้งเสร็จ ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดหมื่น ดูดาษดื่นท่งกว้าง ครั้นเจ้าช้างทรงสดับ ธก็ตรัสแก่ขุนทัพขุนกอง ว่าซึ่งสองกษัตริย์กล้า ออกมาถ้ารอรับ เป็นพยุหทัพใหญ่ยง คงเขาน้อยกว่าเรา มากกว่าเขาหลายส่วน จำเราด่วนจู่โจม โหมหักเอาแต่แรก ตีให้แยกย่นย่อย ค่อยเบาแรงเบามือ เร็วเร่งฮือเข้าห้อม ล้อมกรุงเทพทวารัติ ชิงเอาฉัตรตัดเข็ญ เห็นได้เวียงโดยสะดวก แล้วธสั่งพวกขุนพล เทียบพหลทุกทัพ สรรพแต่ยามเสร็จ ตีสิบเอ็ดนาฬิกา จักยาตราทัพขันธ์ กันเอารุ่งไว้หน้า เร็วเร่งจัดอย่าช้า พรุ่งนี้เช้าเราตี เทอญนา

โคลง๔
                                                                เสนีรับถ้อยท่าน                  ทุกตน
                                                ต่างเร่งตรวจเตรียมพล                      ทุกผู้
                                                พลหาญหื่นหนรณ                             เริงร่าน อยู่แฮ
                                                คอยจักขับเคี่ยวสู้                              เข่นเสี้ยนศึกสยาม

                                                                ครั้นยามสิบเอ็ดแล้ว            เวลา ลุเอย
                                                องค์อัครอุปราชา                              หน่อไท้
                                                โสรจสรงรสธารา                             รวยรื่น ฉมนา
                                                เฉลิมวิเลปน์ลูบไล้                            เฟื่องฟุ้งเสาวคนธ์
ฯลฯ




                                                                ภูเบนทร์บ่ายบาทขึ้น             เกยหอ
                                                ขี่คชชื่อพัทธกอ                                 กาจกล้า
                                                บ่เข็ดบ่ขามขอ                                   เขาเงือด เงื้อแฮ
                                                มันตกติดหลังหน้า                             เสือกเสื้องส่ายเสย
ฯลฯ


ร่าย
                 ส่วนพระยาศรีไสยณรงค์ สองขุนคงควบทัพ กับพระราชฤทธานนท์ ทราบอนุสนธิสั่งไท้ ธให้ยาตรยกโยธี ออกโจมตีตัดศึก แต่ยามดึกเดินพล เร่งขวายขวนเตรียมทัพ สรรพห้าหมื่นโดยมี ตนพระยาศรีขี่คช ปรากฏชื่อมาตงค์ พลายสุรงคเดชะ เมืองสิงหะปีกขวา ออกญาสรรค์ปีกซ้าย เห็จคชผ้ายทุกมูล ขุนผู้คู่กำกับ เป็นทัพหลั่งพรั่งพฤนท์ ขี่คชินทรพาหะ นามชนะจำบัง รังปีกป้องกองขวา พระยาวิเศษชัยชาญ ขุนหาญปีกอุดร เจ้านครชัยนาท กองหน้าอาจโจมประจัญ ให้พระยาสุพรรณผ้ายพยู่ห์ ผู้ปีกซ้ายเมืองธน ทัพเมืองนนท์ปีกขวา ตรีเสนาเก้ากอง ลำลองเหล่าอาสา ส่ำศาสตราครบมือ ถือกระลับกระลอก หอกดาบปืนและสาร แสนยาหาญแน่นขนัด รัดเร่งเท้าเร่งเทา โดยลำเนาลำดับ ถับถึงโคกเผาเข้า พอยามเช้ายังสาย หมายประมาณโมงครบ ประทบทัพรามัญ ประทันทัพพม่า ขับทวยกล้าเข้าแทง ขับทวยแขงเข้าฟัน สองฝ่ายยันยืนยุทธ์ อุดอึงโห่เอาฤกษ์ เอิกอึงโห่เอาชัย สาดปืนไฟยะแย้ง แผลงปืนพิษยะยุ่ง พุ่งหอกใหญ่คะคว้าง ขว้างหอกชักคะไขว่ ไล่คะคลุกบุกบัน เงื้อดาบฟันฉะฉาด ง่าง้าวฟาดฉะฉับ ขับปีกซ้ายเข้าดา ขับปีกขวาเข้าแดก แยกกันออกโรมรัน ปักกันออกโรมรณ ทนสู้ศึกบ่มิลด อดสู้ศึกบ่มิลาด อาจต่ออาจเข้ารุก อุกต่ออุกเข้าร่า กล้าต่อกล้าชิงบั่น กลั่นต่อกลั่นชิงรอน ศรต่อศรยิงยืน ปืนต่อปืนยิงยัน กุทัณฑ์ต่างตอบโต้ โล่ต่อโล่ต่อตั้ง ดั้งต่อดั้งต่อติด เขนประชิดเขนสู้ ต่าวคู่คู่ต่าวต่อ หอกหันร่อหอกรับ ง้าวง่าจับง้าวประจัญ ทวนผัดผันทวนทบ รบอลวนอลเวง ต่างบเกรงบกลัว ตัวต่อตัวชิงมล้าง ช้างต่อช้างชิงชน คนต่อคนต่อรบ ของ้าวทบทะกัน ต่างฟันต่างป้องปัด วางเสนัดหลังสาร ขานเสียงศึกกึกก้อง ว่องต่อว่องชิงชัย ไวต่อไวชิงชนะ ม้าไทยพะม้ามอญ ต่างเข้ารอนเข้าโหม ทวนแทงโถมทวนทบ หอกเข้ารบรอหอก หลอกล่อไขว่แคล้ว แย้งธนูเหนี่ยวน้าว ห้าวต่อห้าวหักหาญ ชาญต่อชาญหักเชี่ยว เรี่ยวต่อเรี่ยวหักแรง แขนต่อแขนหักฤทธิ์ ต่างประชิดฟอนฟัน ต่างประชันฟอนฟาด ล้วนสามารถมือทัด ล้วนสมรรถมือทาน ผลาญกันกันลงเต็มหล้า ผร้ากันลงเต็มแหล่ง แบ่งกันตายลงครัน ปันกันตายลงมาก ตากเต็มท่งเต็มเถื่อน ตากเต็มเผื่อนเต็มพง ที่ยังคงบมิยู่ ที่ยังอยู่บมิหย่อน ต่างต่อกรฮึดฮือ ต่างต่อมือฮึกฮัก หนักหนุนแน่นมาหนา ดาหนุนแน่นมาดาษ บ่รู้ขยาดย่อทัพ บ่รู้ขยับย่อศึก คะศึกเข้าต่อแกล้ว คะแคล้วเข้าต่อกล้า ต่างชิงฆ่าชิงหั่น ต่างชิงบั่นชิงฟัน ปันกันยิงกันแผลง ปันกันแทงกันพุ่ง ยอยุทธ์ยุ่งบ่มิแตก แยกยุทธ์แย้งบ่มิพัง ทวยหน้าหลังต้อนผ้าย ทวยขวาซ้ายต้อนพล เข้าผจญจู่โจม โหมหักหาญราญรบ ต่างท่าวทบระนับ ต่างท่าวทับระนาด บ้างตนขาดหัวหวิ้น บ้างขาดิ้นแขกเด็ด บอยากกระหนาบหน้าหลัง ไทยประนังน้อยแง่ แผออกรลบมิรอด ถอดถอยท้อรอรับ มอญขยับยกตาม หลากเหลือล้นพลเต้า เสียงปืนตึงตื่นเร้า เร่งครื้นเครงครึก อยู่นา

โคลง๒
                                                                พันลึกล่มลั่นฟ้า                  เฉกอสุนีผ่าหล้า
                                                แหล่งเพี้ยงพก                                   แลนา

                                                                ดังตรลบโลกแล้                    ฤๅบ่ร้างรู้แพ้
                                                ชนะผู้ใดดาล ฉงนนา

                                                                สองฝ่ายหาญใช่ช้า                 คือสีหสู้สีหกล้า
                                                ต่อแกล้วในกลาง                                 สมรนา

ถอดความ
                ฝ่ายกองตระเวนของมอญ ซึ่งได้รับคำสั่งให้มาสืบข่าวดูกองทัพไทยซึ่งจะออกมาต่อสู้ต้านทานได้นำข่าวมาแจ้งพระมหาอุปราชา สมิงอะคร้าน สมิงเป่อ สมิงซายม่วน พร้อมด้วยกองม้าจำนวน  ๕๐๐  คน ได้ไปพบกองทัพไทยตั้งค่ายรอรับอยู่ที่หนองสาหร่ายจึงกลับไปทูลแด่องค์พระมหาอุปราชา พระองค์ตรัสถามนายกองทั้งสามถึงกำลังพลฝ่ายไทย นายกองกราบทูลว่า ประมาณสิบเจ็ด - สิบแปด หมื่น ดูเต็มท้องทุ่ง พระมหาอุปราชาตรัสว่ากษัตริย์ไทย ทั้งสองพระองค์ออกมารอรับทัพเป็นกองใหญ่ แต่กำลังน้อยกว่าของมอญ กำลังของมอญมากกว่าหลายส่วน ต้องรีบโจมตีหักเอาให้ได้ ตั้งแต่แรกจะได้เบาแรง แล้วจะไปล้อมกรุงศรีอยุธยาชิงเอาราชสมบัติได้โดยสะดวก แล้วรับสั่งให้ขุนพลเตรียมทัพให้เสร็จแต่ ๓  นาฬิกา พอ ๕ นาฬิกา ก็ยกไป โดยกะสว่างเอาข้างหน้า รุ่งเช้าจะได้เข้าโจมตี เสนาผู้ใหญ่ได้ทำตามรับสั่ง เมื่อถึงเวลาพระมหาอุปราชาเสด็จประทับช้างชื่อ พลายพัธกอซึ่งกำลังตกมัน ส่วนพระยาศรีไสยณรงค์และพระราชฤทธานนท์ เมื่อได้รับพระบรมราชโองการให้ออกโจมตีข้าศึก จึงจัดทัพพร้อมด้วยกำลังพล ห้าหมื่น และจัดทัพแบบตรีเสนา คือแบ่งเป็นทัพใหญ่ ๓ ทัพแต่ล่ะทัพแยกออกเป็น ๓ กอง(ตรีเสนาเก้ากอง)ปีกซ้าย กองหน้า ปีกขวา เจ้าเมืองธนบุรี พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี กองหลวง เจ้าเมืองสรรค์บุรี พระยาศรีไสยณรงค์ เจ้าเมืองสิงห์บุรี กองหลัง เจ้าเมืองชัยนาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ 
       ทัพไทยเคลื่อนออกจากหนองสาหร่ายถึงโคกเผาข้าวเวลาประมาณ 7 นาฬิกา ได้ปะทะกับทัพมอญ ต่างฝ่ายล้มตายจำนวนมาก พวกที่เหลือก็ต่อสู้กันอย่างกล้าหาญ กองทัพมอญที่ตามมามีมากขึ้น ตีโอบล้อม กองทัพไทย ฝ่ายไทยกำลังน้อยกว่า กระจายออกรับไม่ไหว จึงต้องถอย ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเตรียมกำลังทหารไว้อย่างพร้อมเพรียงตั้งแต่ยังไม่สว่าง จนแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า 


ตอน ๘ พระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวิธีเอาชนะข้าศึก




โคลง๔
                                                                ปางอุภัยภูเบศเบื้อง           บูรพ์ถวัลย ราชย์แฮ
                                                เรียบพิริยพลพรรค์                           พรั่งพร้อม
                                                เจียนจวบรวิวรรณ                                ร่างเรื่อ แลฤๅ
                                                ทวยทิชากรน้อม                                  นอบนิ้วเสนอทูล
ฯลฯ
                                                                เชิญไท้ยูรยาตรเต้า               เตียงสนาน
                                                ถวายมุทธาภิสิตธาร                            เพรียกพร้อง
                                                ศิวเวทวิษณุบรรสาน                           สังข์โสรจ สรงแฮ
                                                มหรทึกครึกเครงก้อง                          เกริกหล้าหวั่นไหว
ฯลฯ
ร่าย
        ฝ่ายชีพ่อทวิชาชาติ ราชปุริโสดม พรหมพิทยาจารย์ เบิกโขลนทวารโดยกระทรวง ปวงละว้าเช่นไก่ ไขว่สรวงพลีผีสาง พลางธส่งแสงอาชญา แต่หลวงมหาวิชัย ใจทระนงองอาจ ยาตรตัดไม้ข่มนาม ตามตำรับไสยเพท บัดนฤเบศทรงสดับ เสียงปืนทัพแย้งยุทธ์ สุดอำเภอเลอไสต โปรดโองการธใช้ ให้หมื่นทิพเสนา เห็จอาชาเร็วรีบ ถีบไปสืบเอาการ เขารับสารขึ้นม้า ควบบช้าบหึง ถึงที่ทวยพลทัพ รับพลางถอยพลางล่ามอญพม่าตามติด ประชิดไล่อลวน ผจญรับอลหม่าน ผ่านท้องท่งท้องนา ดามาโดยแดนผลู ดูคะคลาคะคล่ำ บ่รู้กี่ส่ำสับสน เขาเอาตนหมื่นหนึ่งมา ซึ่งเนาในกองทัพ กลับม้านำมาเฝ้า จึ่งพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสถามตัวหมื่นพล เยียใดกลจึ่งพ่าย เขาจำหน่ายเหตุสนอง ว่าเผือผองผาดผ้าย ท้ายดอนเผาธัญญา พอนาฬิกาหนึ่งนับ ปะทะทับดัสกร เข้าราญรอมรุมรุก คลุกคลีกันหนักหนา ปวงปัจจามิตรมาก หลากทุกคราทุกครั้ง ตั้งตนต่อบมิคง ตรงตนต่อบมิหยุด เหลือจักยุทธ์จึ่งลาด ครั้นพระบาทยินสาร ธก็บรรหารตระบัด ตรัสปรึกษาหาเลศ แห่งเหตุเพโทบาย ถ้วนทุกนายทุกมุล ทั่วทุกขุนหมู่มาตย์ คาดความคิดทั้งมวล ควรยศใดใครเห็น จักเข่นเข็ญให้มอด จักขอดเข็ญให้ม้วย ด้วยถ่ายเทเล่ห์ไหน วานเขือไขอย่าอำ เขาขานคำท่านถาม สงครามครานี้หนัก เชิญเสด็จพักพลหมั้น แต่งทัพซั้นไปหน่วง ถ่วงศึกไว้จงหนา รามือลงก่อนไสร้ ไว้สักครั้งรั้งรอ พอได้ทีจึ่งยาตร ยกพยุหบาตรออกราญ เห็นควรการชัยชอบ ธก็ตรัสตอบมนตรี ตรองคดีดูแผก ฝ่ายเราแตกย่นยับ จักส่งทัพไปทาน พอพลอยฉานสองซ้ำ ค้ำบอยู่บหยุด ชอบถอยทรุดอย่ารั้ง ให้ศึกพลั้งเสียเชิง โดยละเลิงใจอาจ ยาตรตามติดผิดขบวน ควรเรายกออกโรม โหมหักหาญราญรงค์ คงชำนะเศิกไสร้ ได้ด้วยง่ายด้วยงาม เขายินความยลชอบ นอบประณตแด่ไท้ ธให้หมื่นทิพเสนา กับหมื่นราชามาตย์ เหินหัยราชรีบร้อน ไปเตือนต้อนกองนา เร็วเร่งล่าอย่ารั้ง ทวยพหลทั่วทั้ง ทราบข้อบรรหาร ท่านนา

โคลง๒
                                                                บนานต่างตนผ้าย                ไปบ่รอรั้งท้าย
                                                ถี่เท้าผาดผัง                                           มานา

                                                                ผันหลังแล่นแผ่ผ้าน         บมีผู้อยู่ต้าน
                                                ต่อสู้สักตน                                            หนึ่งนา
ฯลฯ
โคลง๓
                                                                พวกพลทัพรามัญ                             เห็นไทยผันหนีหน้า
                                                ไปบ่หยุดยั้งช้า ตื่นต้อนแตกฉาน                    น่านนา

                                                                ไป่แจ้งการแห่งเล่ห์                             เท่ห์กลไทยใช่น้อย
                                                ต่างเร่งติดเร่งต้อย              เร่งเต้าตีนตาม มานา

                                                                แลหลังหลามเหลือนับ      บเป็นทัพเป็นขบวนแท้
                                                ถวิลว่าพ่ายจริงแล้              ไล่ล้ำระส่ำระสาย ยิ่งนา

                                                                หมายละเลิงใจอาจ        ประมาทประมาณหมิ่นหมั้น
                                                เบาเร่งเบาเชิงชั้น               ชื่นหน้ามาสรลม สรลอนนา

ถอดความ
        ขณะที่พราหมณ์ผู้ทำพิธีและผู้ชำนาญไสยศาสตร์ ทำพิธีเบิกประตูป่าและพิธีละว้าเซ่นไก่ หลวงมหาวิชัยรับพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ ไปทำพิธีตัดไม้ข่มนามตามไสยศาสตร์ สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงสดับเสียงปืนซึ่งไทยกับมอญกำลังยิงต่อสู้กัน แต่เสียงนั้นอยู่ไกลฟังไม่ถนัด จึงรับสั่งให้หมื่นทิพเสนารีบไปสืบข่าว เห็นกองทัพไทยกำลังล่าถอย รับพลางถอยพลาง มอญพม่าตามมาอย่างกระชั้นชิด หมื่นทิพเสนาได้นำขุนหมื่นผู้หนึ่งมาเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร ขุนหมื่นผู้นั้นกราบทูลว่า เมื่อเวลา 7 นาฬิกา ทัพไทยได้ปะทะกับทัพมอญที่ตำบลโคกเผาข้าว ทัพไทยต้องถอยร่นตลอดเวลา เพราะกำลังข้าศึกมีมากกว่า สมเด็จพระนเรศวร จึงตรัสปรึกษาแม่ทัพนายกองว่าควรคิดหาอุบายแก้ไขการศึก บรรดาแม่ทัพนายกองกราบทูลขอให้พระองค์ส่งทัพไปยันไว้ ให้ข้าศึกอ่อนกำลังลงก่อนจึงเสด็จยกทัพหลวงออกต่อสู้ภายหลัง สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่าทัพไทยกำลังแตกพ่ายอยู่ ถ้าจะส่งทัพไปต้านทานอีก ก็จะพลอยแตกอีกครั้ง ควรที่จะล่าถอยลงมาโดยไม่หยุดยั้ง เพื่อลวงข้าศึกให้ละเลิงใจ ยกติดตามมาไม่เป็นขบวน พอได้ทีให้ยกกำลังส่วนใหญ่ออกโจมตี คงจะได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย แม่ทัพนายกองเห็นชอบด้วยกับพระราชดำรินั้น สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้หมื่นทิพเสนากับหมื่นราชามาตย์ไปแจ้งทัพหน้าของไทยให้ล่าถอยโดยเร็ว ทัพพม่า ไม่รู้อุบาย ก็รุกไล่ตามจนเสียกระบวน 
พิธีทางไสยศาสตร์เกี่ยวกับศึกสงคราม 
        โขลนทวาร หรือประตูป่า เป็นพิธีบำรุงขวัญทหารเมื่อยกทัพออกจากเมืองโดยทำซุ้มประตูให้ทหารลอดสองข้างประตูทำเป็นร้านนั่งให้พราหมณ์ประพรมน้ำมนต์ขณะที่ทหารลอดซุ้มประตูและมีพระสงฆ์สวดชยันโตเพื่อเป็นสิริมงคลและให้กำลังใจทหารที่ออกรบ 
        ละว้าเซ่นไก่ เป็นพิธีบำรุงขวัญทหารอีกพิธีหนึ่ง พิธีนี้เป็นพิธีบวงสรวงเทวดาและเจ้าป่าของชาวละว้า ผู้ทำพิธีจะตั้งเครื่องสังเวย บวงสรวงเทวดา ขอให้งานสำเร็จลุล่วงแล้วเสี่ยงทายโดยถอดกระดูกคางไก่ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่น ถ้ากระดูกยาวเรียว มีข้อถี่ถือเป็นนิมิตดี 
        ตัดไม้ข่มนาม เป็นพิธีบำรุงขวัญทหารก่อนทัพไปปราบศัตรูโดยจัดตั้งโรงพิธี วงสายสิญจน์ นำดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปคน สมมติเป็นข้าศึก เขียนชื่อ ลงยันต์กำกับห่อด้วยกาบกล้วยนำเข้าพิธีปลุกเสก นำไปติดกับต้นไม้ที่มีชื่อพ้องหรือใกล้เคียง กับชื่อข้าศึก นำต้นไม้ไปปักลงหลุมในโรงพิธี พอได้ฤกษ์ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากพระมหากษัตริย์จะเชิญพระแสงดาบ อาญาสิทธิ์ในโรงพิธีไปฟันไม้และรูปปั้นข้าศึก แล้วกลับไปทูลพระมหากษัตริย์ว่าได้เอาชนะข้าศึกตามพระกระแสรับสั่งแล้ว 
        เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค เป็นการเคลื่อนทัพตามตำราพิชัยสงครามโดยกำหนดว่าวันที่เคลื่อนทัพนาคหันหัวไปทิศใดให้เคลื่อนทัพไปทางทิศนั้นจะเป็นสิริมงคลหากเดินทวนเกล็ดนาคถือว่าเป็นอัปมงคล 


ตอน ๙ ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงฯ ฝ่าเข้ากองทัพข้าศึก



โคลง๔
                                                                เบื้องบรมจักรพรรดิเกล้า                  กษัตรา
                                                เถลิงพิภพทวารา                                                  เกริ่นแกล้ว
                                                สถิตเกยรัตนราชา                                                อาสน์โอ่ องค์เอย
                                                คอยฤกษ์เบิกยุทธ์แผ้ว                                         แผ่นพื้นหาวหน

                                                                บัดดลวลาหกซื้อ                                  ชระอับ อยู่แฮ
                                                แห่งทิศพายัพยล                                                  เยือกฟ้า
                                                มลักแลกะลายกระลับ                                         ลิวล่งไปเฮย
                                                เผยผ่องภาณุเมศจ้า                                              แจ่มแจ้งแสงฉาน

                                                                คัคนานต์นฤราสร้าง                           ราคิน
                                                คือระเบียบรัตนอินทนิล                                     คาดไว้
                                                บริสุทธิ์สร่างมลทิน                                            ถ่องโทษ อยู่นา
                                                นักษัตรสวัสดิเดชได้                                           โชคชี้ศุภผล
ฯลฯ

ร่าย
                เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามเต็มท่งแถวเถื่อน เกลื่อนกล่นแสนยาทัพ ถับปะทะไพรินทร์ ส่วนหัสดินอุภัย เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้องกลองปืนศึก อึกเอิกก้องกาหลง เร่งคำรนเรียกมัน ชันหูชูหางแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่างใหญ่ดุ่มด่วน ป่วนกิริยาร่าเริง บำเทิงมันครั่นครึก เข้าสู้ศึกโรมราญ ควาญคัดท้ายบมิอยู่ วู่วางวิ่งฉับฉิว ปลิวประเล่ห์สมพาน ส่ำแสะสารแสนยา ขวาซ้ายแซงหน้าหลัง ทั้งทวยพลตนขุน ถ้วนทุกมุลมวลมาตย์ ยาตรบทันโทท้าว ด้าวศึกสู้สองสาร ราญศึกสู้สองไท้ ไร้พิริยะแห่ห้อม พร้อมแต่กลางควาญคช กำหนดสี่โดยเสร็จ เห็จเข้าใกล้กองหน้า ข้าศึกดูดาษเดียร ธระเมียรหมู่ดัสกร มอญพม่าดาดื่น เดินดุจคลื่นคลาฟอง นองน่านในอรรณเวศ ตรัสทอดพระเนตรเนืองบร โล่โรมรอนทวยสยาม หลามเหลือหลั่งคั่งคับ ซับซ้อนแทรกสับสน ยลบเป็นทัพเป็นกอง ธก็ไสสองสารทรง ตรงเข้าถีบเข้าแทง ด้วยแรงมันแรงกาย หงายงาเสยสารเศิก เพิกพังพ่ายบ่ายตน ปนปะไปไขว่คว้าง ช้างศึกได้กลิ่นมัน หันหัวหกตกกระหม่า บ่ากันเลี่ยงกันหลบ ประทบประทะอลวน สองคชชนชาญเชี่ยว เรี่ยวรณรงค์เริงแรง แทงถืบฉัดตะลุมบอน พม่ามอญตายกลาด ข้าศึกสาดปืนโซรม โรมกุฑัณฑ์ธนู ดูดั่งพรรษาซ้อง ไป่ตกต้องตนสาร ธุมาการเกิดกระลบ อบอลเวงฟากฟ้า ดูบ่รู้จักหน้า หนึ่งสิ้นแสงไถง แลนา



โคลง๔
                                                                จึ่งไทเทเวศอ้าง                    สมมุติ
                                                มิ่งมหิศวรมกุฎ                                    เกศหล้า
                                                เถลิงภพแผ่นอยุธย-                            ยายิ่ง ยศแฮ
                                                แสดงพระเดชฟุ้งฟ้า                           เฟื่องด้าวดินไหว

                                                                ภูวไนยผายโอษฐ์อื้น           โชยงการ
                                                แก่เทพทุกถิ่นสถาน                            ฉชั้น
                                                โสฬสพรหมพิมาน                             กมลาสน์ แลนา
                                                เชิญช่วยชุมโสตซั้น                            สดับถ้อยตูแถลง

                                                                ซึ่งแสร้งรังสฤษฏ์ให้           มาอุบัติ
                                                ในประยูรเศวตฉัตร                             สืบเชื้อ
                                                หวังผดุงบวรรัตน                                ตรัสเยศ ยืนนา
                                                ทำนุกพระศาสน์เกื้อ                           ก่อสร้างแสวงผล

                                                                กลใดไป่ช่วยแผ้ว นภา ดลฤๅ
                                                ใสสรว่างธุมา                                       มืดม้วย
                                                มลักเล็งเหล่าพาธา                              ทวยเศิก สมรแฮ
                                                เห็นตระหนักเนตรด้วย                      ดั่งนี้แหนงฉงาย

                                                                พอถวายวรวากย์อ้าง            โอษฐ์พระ
                                                ดาลมหาวาตะ                                       ตื่นฟ้า
                                                ทรหึงทรหวลพะ-                                พานพัด หาวแฮ
                                                หอบธุมางค์จางเจ้า                              จรัสด้าวแดนสมร

                                                                ภูธรเมิลอมิตรไท้                 ธำรง สารแฮ
                                                ครบสิบหกฉัตรทรง                            เทริดเกล้า
                                                บ่จวนบ่จวบองค์                                   อุปราช แลฤๅ
                                                พลางเร่งขับคชเต้า                              แต่ตั้งตาแสวง

                                                                โดนแขวงขวาทิศท้าว          ทฤษฎี แลนา
                                                บัด ธ เห็นขุนกรี                                  หนึ่งไสร้
                                                เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์                                เรียงคั่ง ขูเฮย
                                                หนแห่งฉายาไม้                                  ข่อยชี้เณอนาม

                                                                ปิ่นสยามยลแท้ท่าน            คะเนนึก อยู่นา
                                                ถวิลว่าขุนศึกสำ-                                  นักโน้น
                                                ทวยทัพเทียบพันลึก                            แลหลาก หลายแฮ
                                                ครบเครื่องอุปโภคโพ้น                      เพ่งเพี้ยงพิศวง

                                
                                                                สองสุริยพงศ์ผ่านหล้า        ขับคเชนทร์บ่ายหน้า
                                                แขกเจ้าจอมตะเลง                               แลนา

                                                                ไป่เกรงประภาพเท่าเผ้า     พักตร์ท่านผ่องฤๅเศร้า
                                                สู้เสี้ยนไป่หนี                                       หน้านา

                                                                ไพรีเร่งสาดซ้อง                  โซรมปืนไฟไป่ต้อง
                                                ตื่นเต้าแตกฉาน                                    ผ้านนา

ถอดความ

                ขณะสมเด็จพระนเรศวรประทับบนเกย เพื่อรอพิชัยฤกษ์เคลื่อนทัพหลวง ได้บังเกิดเมฆก้อนใหญ่เย็นเยือกลอยอยู่ทางทิศพายัพ แล้วก็กลับสว่าง ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า อันเป็นนิมิตที่แสดงพระบรมเดชานุภาพและชี้ให้เห็นความมีโชคดี สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามตำราพิชัยสงคราม จนปะทะกับกองทัพข้าศึก ช้างพระที่นั่งทั้งสอง คือ พระเจ้าไชยานุภาพ และ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ได้สดับเสียง ฆ้อง กลอง และเสียงปืนของข้าศึก ก็ส่งเสียงร้องด้วยความคึกคะนอง เพราะกำลังตกมัน ควาญบังคับไว้ไม่อยู่ มันวิ่งไปโดยเร็ว จนทหารในกองทัพตามไม่ทัน มีแต่กลางช้างและควาญช้างตามเสด็จไปด้วยจนเข้าไปใกล้กองหน้าของข้าศึก ช้างศึกได้กลิ่น มัน ก็พากันตกใจหนีไปปะทะกับพวกที่ตามมาข้างหลัง ช้างทรงไล่แทงช้างของข้าศึกอย่างเมามัน ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้าศึกยิงปืนเข้าใส่ แต่ไม่ถูกช้างทรง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนฝุ่นตลบมองหน้ากันไม่เห็น เหมือนกับเวลากลางคืน สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสประกาศแด่เทวดาบนสวรรค์ทั้งหกชั้น และพรหมทั้งสิบหกชั้นว่า ที่ให้พระองค์มาประสูติเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองบ้านเมืองเพื่อให้ทะนุบำรุงศาสนา และพระรัตนตรัยให้เจริญรุ่งเรือง เหตุใดเทวดาจึงไม่บันดาลให้มองเห็นข้าศึกได้ชัดเจน พอดำรัสจบก็เกิดพายุใหญ่พัดหอบเอาฝุ่นและควันหายไป ท้องฟ้าสว่างดังเดิม มองเห็นสนามรบได้ชัดเจน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงช้างประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข่อย มีทหารห้อมล้อมและตั้งเครื่องสูงครบครัน ทั้งสองพระองค์จึงทรงไสช้างเข้าไปหาแม้ข้าศึกยิงปืนไฟเข้ามาแต่ก็มิได้ต้องพระองค์และช้างทรง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น