เนื้อเรื่อง
ตอน ๑ เริ่มบทกวี
ร่าย
ศรีสวัสดิเดชะ ชนะราชอรินทร์ ยินพระยศเกริกเกรียง
เพียงพกแผ่นฟากฟ้า หล้าล่มเลื่องชัยเชวง เกรงพระเกียรติระย่อ ฝ่อใจห้าวบมิหาญ ลาญใจแกล้วบมิกล้าบค้าอาตม์ออกรงค์
บคงอาตม์ออกฤทธิ์ ท้าวทั่วทิศทั่วเทศ ไท้ทุกเขตทุกด้าว น้าวมกุฎมานบ น้อมพิภพมานอบ
มอบบัวบาท วิบุล อดุลยานุภาพ ปราบดัสกรแกลนกลัว
หัวหั่นหายกายกลาด ดาษเต็มท่งเต็มดอน พม่ามอญพ่ายหนี ศรีอโยธยารมเยศ
พิเศษสุขบำเทิง สำเริง ราชสถาน สำราญราชสถิต
พิพิธโภคสมบัติ พิพัฒน์โภคสมบูรณ์ พูนพิภพดับเข็ญ เย็นพิภพดับทุกข์ สนุกสบสีมา
ส่ำเสนานอบเกล้า ส่ำสนมเฝ้าฝ่ายใน ส่ำพลไกรเกริกหาญ ส่ำพลสารสินธพ สบศาสศรเพลิง
เถลิงพระเกียรติฟุ้งฟ้า ลือตรลบแหล่งหล้า โลกล้วนสดุดี
โคลง ๔
บุญเจ้าจอมภพพื้น
แผ่นสยาม
แสยงพระยศยินขาม
ขาดแกล้ว
พระฤทธิ์ดังฤทธิ์ราม
รอนราพณ์ แลฤๅ
ราญอริราชแผ้ว
แผกแพ้ทุกภาย
ไพรินทรนาศเพี้ยง
พลมาร
พระดั่งองค์อวตาร
แต่กี้
แสนเศิกห่อนหาญราญ
รอฤทธิ์ พระฤๅ
ดาลตระดกเดชลี้
ประหลาดเหล้าแหล่งสถาน
เสร็จเสวยศวรรเยศอ้าง
ไอยศูรย์สรวงฤๅ
เย็นพระยคปูนเดือน
เด่นฟ้า
เกษมสุขส่องสมบูรณ์
บานทวีป
สว่างทุกข์ทุกธเรศหล้า
แหล่งล้วนสรรเสริญ
ถอดความ
กล่าวสดุดีพระบรมเดชานุภาพแห่กษัตริย์ไทยที่เอาชนะเหล่าศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
พระเกียรติยศเป็นที่เลื่องลือเหมือนพลิกแผ่นฟ้า
ข้าศึกเกรงพระบรมเดชานุภาพไม่กล้าเสี่ยงทำสงคราม ยอมเป็นเมืองขึ้น
กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมีความสุขสำราญพรั่งพร้อมด้วยโภคสมบัติ
พร้อมสรรพด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารอันสมบูรณ์ บ้านเมืองมีแต่ความสงบปราศจากศึกสงคราม
ข้าราชการ ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในก็พากันเฝ้าแหนอย่างพร้อมพรั่ง เหล่าทหารพล ช้าง
ม้า อาวุธ ปืนไฟ ทั่วโลกล้วนสรรเสริญสดุดี
เป็นบุญญานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์แห่งแผ่นดินสยาม
เมื่อข้าศึกได้ยินพระเกียรติยศชื่อเสียง พากันเกรงกลัวพระบรม เดชานุภาพ
ฤทธานุภาพของพระองค์เปรียบพระรามที่ปราบยักษ์ (ทศกัณฐ์) พระองค์เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าที่ปราบกำลังพลของพญามาร
ข้าศึกไม่อาจต่อสู้พระองค์ได้ เมื่อเสร็จศึกแล้วก็ขึ้นครองราชสมบัติ
พระบารมีของพระองค์ทำให้บ้านเมืองร่มเย็นดุจแสงจันทร์ที่ส่องอยู่บนท้องฟ้า
ส่องความสุข ความสบายใจแก่มนุษยโลก บ้านเมืองมีแต่ความสมบูรณ์ ปราศจากความทุกข์ จนเป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญทั่วไปทุกแหล่งหล้า
ตอน ๒ เกตุการณ์ทางเมืองมอญ
ร่าย
ฝ่ายพระนครรามัญ ขัณฑ์เขตด้าวอัสดง หงสาวดีบุเรศ
รั่วรู้เหตุบริหึง แห่งเอิกอึงกิดาการ ฝ่ายพสุธารออกทิศ ว่าอดิศวรกษัตรา
มหาธรรมราชนรินทร์ เจ้าปถพินทร์ผ่านทวีป ดับชนมชีพพิราลัย เอารสไทนฤเบศ
นเรศวรเสวยศวรรยา แจ้งกิจจาตระหนัก จึ่งพระปิ่นปักธาษตรี บุรีรัตนหงสา
ธก็บัญชาพิภาษ ด้วยมวลมาตยากร ว่านครรามินทร์ ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราช
เยียววิวาทชิงฉัตร เพื่อกษัตริย์สองสู้ บร้างรู้เหตุผล ควรยาตรพลไปเยือน
เตือนประยุทธ์เอาเปรียบ แม้นไป่เรียบเป็นที โจมจู่ยี่ย่ำภพ เสนีนบนึกชอบ
ระบอบเบื้องบรรหาร ธก็เอื้อนสารเสาวพจน์ แต่เอารสยศเยศ องค์อิศเรศอุปราช
ให้ยกยาตราทัพ กับนครเชียงใหม่ เป็นพยุหใหญ่ห้าแสน ไปเหยียบแดนปราจิน
บุตรท่านยินถ้อถ้อย ข้อยผู้ข้าบาทบงสุ์ โหรควรคงทำนาย ทายพระเคราะห์ถึงฆาต
ฟังสารราชเอารส ธก็ผะชดบัญชา เจ้าอยุธยามีบุตร ล้วนยงยุทธ์เชี่ยวชาญ
หาญหักศึกบมิย่อ ต่อสู้ศึกบมิหยอน ไปพักวอนว่าใช้ ให้ธหวงธห้าม
แม้นเจ้าคร้ามเคราะห์กาจ จงอย่ายาตรยุทธนา เอาพัสตราสตรี สวมอินทรีย์สร่างเคราะห์
ธตรัสเยาะเยี่ยงขลาด องค์อุปราชยินสาร แสนอัประมาณมาตย์มวล นวลพระพักตร์ผ่องเผือด
เลือดสลดหมดคล้ำ ช้ำกมลหมองมัว กลัวพระอาชญายอบ นอบประณตบทมูล ทูลลาไท้ลีลาศ
ธก็ประกาศเกณฑ์พล บอกยุบลบ่มิหึง ถึงเชียงใหม่ตระบัด เร่งแจงจัดจตุรงค์
ลงมาสู่หงสา แล้วธให้หาเมืองออก บอกทุกแดนทุกด้าว บอกทุกท้าวทุกเทศ
ทั่วทุกเขตทุกขอบ รอบสีมามณฑล ทราบนุสนธิ์ทุกแห่ง ต่างตกแต่งแสะสาร แสนยาหาญมหิมา
คลาบรรลุเวียงราช แลสระพราศสระพรั่ง คั่งคับนับเหลือตรา ต่างภาษาต่างเพศ
พิเศษสรรพแต่งตน ข้าศึกยลแสยงฤทธิ์ บพิตรธเทียบทัพหลวง โดยกระทรวงพยุบาตร
จักยาตราตรู่เช้า เสด็จเข้านิเวศไท้ เกรียมอุระราชไหม้ หม่นเศร้าศรีสลาย อยู่นา
โคลง ๒
พระผาดผายสู่ห้อง
หาอนุชนวลน้อง
หนุ่มหน้าพระสนม
ปวงประนมนบเกล้า
งามเสงียมเฟื้ยมเฝ้า
อยู่ถ้าทูลสนอง
กรตระกองกอดแก้ว
เรียมจักร้างรสแคล้ว
คลาดเคล้าคลาสมร
จำใจจรจากสร้อย
อยู่แม่อย่าละห้อย
ห่อนช้าคืนสม
แม่แล
ฯลฯ
ร่าย
เสร็จเสาวนีย์สั่งสนม เนืองบังคมคำราช
พระบาททันนิทรา จวนเวลาล่วงสาง พื้นนภางค์เผือดดาว แสงเงินขาวขอบฟ้า
แสงทองจ้าจับเมฆ รังสีเฉกฉายฉัน ไก่แก้วขันเจื้อยแจ้ว ดุเหว่าแหว้วเสียงใส
จึ่งบรมไทธิราช ยุรยาตรยังที่สรง ชำระองค์บนาน ทรงสุคนธ์ธารกลิ่นตรลบ
หอมอวลอบอายขจร ทรงบวรวิภูษิต สนับเพลาพิศพรายพร้อย ชายไหวย้อยยะยาบ
ชายแครงทาบเครือวัลย์ รัตพัสตร์พรรณยรรยง ฉลองพระองค์เพริศแพร้ว มกรแก้วเกยูร
ตาบไพฑูรย์เรืองจรัส สะอิ้งรัตนประพาฬ สอดสังวาลเฉวียงองค์ มกุฎทรงเทริดเกศ
อย่างอิศเรศรามัญ สรรเป็นรูปอุรเคนทร์เพญพะพานแผ่เศรียร แสงวิเชียรช่อช่วง
ธำมรงค์ร่วงรุ้งพราย รายนพรัตน์ชัชวาล เครื่องอลงการโอ่อ่า งามสง่าขัตติเยศ
พระแสดงเดชผังผาย กุมแสงกรายกรนาด ยุรยาตรอย่างไกรสร จากศีขรคูหา ลีลายังวังราช
ไหว้บัวบาทบิตุรงค์ ขอลาองค์ท่านไท้ ไปเผด็จดัสกรให้ เหือดเสี้ยนศึกสยาม สิ้นนา
โคลง๒
พระฟังความลูกท้าว
ลาเสด็จศึกด้าว
ดั่งเบื้องบรรหาร
โคลง๓
ภูบาลอื้นอำนวย
อวยพระพรเลิศล้น
จงอยุธย์อย่าพ้น
แห่งเงื้อมมือเทอญ พ่อนา
โคลง๔
จงเจริญชเยศด้วย
เดชะ
ชาวอยุธย์อย่าพะ
พ่อได้
จงแพ้พินาศพระ
วิริยภาพ พ่อนา
ชนะแด่สองท่านไท้
ธิราชเจ้าจอมสยาม
สงครามความเศิกซึ้ง
แสนกล
จงพ่ออย่ายินยล
แต่ตื้น
อย่าลองคะนองตน
ตาชอบทำนา
การศึกลึกเลห์พื้น
ล่อเลี้ยวหลอกหลอน
จงแจ้งแห่งเหตุเบื้อง
โบราณ
เป็นประโยชน์ยุทธการ
กล่าวไว้
เอาใจทหารหาญ
เริงรื่น อยู่นา
อย่าระคนปนใกล้
เกลือกกลั้วขลาดเขลา
หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้
สบสถาน
เจนจิตวิทยาการ
กาจแกล้ว
รู้เชิงพิชัยชาญ
ชุมค่าย ควรนา
อาจจักรอนรณแผ้ว
แผกแพ้พังหนี
หนึ่งรู้บำเหน็จให้
ขุนพล
อันสมรรถมือผจญ
จืดเสี้ยน
อย่าหย่อนวิริยะยล
อย่างเกียจ
แปดประการกลเที้ยร
ถ่องแท้ทางแถลง
จงจำคำพ่อไซร้
สั่งสอน
จงประสิทธิ์สมพร
พ่อให้
จงเรืองพระฤทธิ์รอน
อริราช
จงพ่อลุลาภได้
เผด็จด้าวแดนสยาม
ร่าย
เสร็จสั่งความโอวาท ไท้ธประสาทพระพร แต่ภูธรเอารส
ธก็ประณตรับคำ อำลาท้าวลีลาศ ยุรยาตรยังเกยชัย เสนาในเตรียมทัพ สรรพพลห้าสิบหมื่น
ขุนคชหื่นหาญแกล้ว ขับช้างแก้วพัทธกอ รอรับราชริมเกย ควาญเคยคัดท้ายเทียบ
เสด็จย่างเหยียบหลังสาร ทรงคชาธารยรรยง อลงกตแก้วแกมกาญจน์ เครื่องพุดตานตกแต่ง
แข่งสีทองทอเนตร ปักเศวตฉัตรฉานฉาย คลายคชบาทยาตรา คลี่พยุหคลาดแคล้ว
คล้ายนายทแกล้ว ย่างเยื้องธงทอง แลนาฯลฯ
โคลง๒
ถับถึงทวารกรุงแก้ว
เดียรดาษพลคลาดแคล้ว
คล่ำคล้ายคลาขบวน
โคลง๓
ด่วนเดินโดยโขลนทวาร
พวกพลหาญแห่หน้า
ล้วนทแกล้วทกล้า
กลาดกลุ้มเกลื่อนสถล มารคนา
ถอดความ
ฝ่ายนครรามัญ คือ หงสาวดี
ทราบข่าวว่าพระมหาธรรมราชากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาสวรรคต พระราชโอรส
คือพระนเรศวรได้ขึ้นครองราชสมบัติ จึงได้ประชุมหมู่อำมาตย์ปรึกษากันว่า
กรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
โอรสทั้งสองพระองค์อาจจะวิวาทกันเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ ควรยกทัพไปดูลาดเลา
ถ้าได้เปรียบก็จะได้รบแย่งชิงเอาบ้านเมือง ขุนนางต่างเห็นชอบตามพระราชดำริ
จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชาจัดเตรียมทัพพร้อมด้วยทัพเมืองเชียงใหม่ห้าแสนคนยกไปตีกรุงศรีอยุธยา
พระมหาอุปราชากราบบังคมทูลว่าโหรทำนายว่าพระองค์กำลังมีเคราะห์ถึงตาย
พระเจ้าหงสาวดีจึงตรัสเป็นเชิงประชดว่า กษัตริย์อยุธยามีโอรสเก่งกล้าสามารถในการรบ
กล้าหาญทำศึกไม่ต้องให้พระบิดาใช้วาน มีแต่จะห้ามปรามไม่ให้ทำศึก ถ้าพระมหา
อุปราชาเกรงว่าเคราะห์ร้ายให้เอาผ้าสตรีมานุ่งจะได้หมดเคราะห์
พระมหาอุปราชาทรงอับอายขุนนางข้าราชการมาก จึงทูลลา
พระบิดาแล้วเตรียมยกทัพโดยเกณฑ์จากหัวเมืองต่างๆรวมห้าแสนคนเตรียมยกทัพไปในเวลาเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
แล้วเสด็จกลับตำหนักสั่งลาพระสนมทั้งหลายด้วยความอาวรณ์จนถึงรุ่งเช้า
ยังไม่ทันสว่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้วก็ไปเฝ้าพระราชบิดาเพื่อ
ทูลลาไปราชสงคราม พระเจ้าหงสาวดีก็พระราชทานพรให้ชนะศึกสยามในครั้งนี้
แล้วพระราชทานโอวาทในการทำสงคราม 8 ประการ
๑. อย่าเป็นคนหูเบา (จงพ่อย่ายินยล แต่ตื้น)
๒. อย่าทำอะไรตามใจตนเอง ไม่นึกถึงใจผู้อื่น (อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ทำนา)
๓. รู้จักเอาใจทหารให้ฮึกเหิมอยู่ (เอาใจทหารหาญ
เริงรื่น อยู่นา)
๔. อย่าไว้ใจคนขี้ขลาดและคนโง่ (อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลั้วขลาดเขลา)
๕. ควรรอบรู้ในการจัดกระบวนทัพทุกรูปแบบ (หนึ่งรู้พยุหเศิกไสร้ สบสถาน)
๖. รู้หลักการตั้งค่ายตามพิชัยสงคราม (รู้เชิงพิชัยชาญ ชุมค่าย ควรนา)
๗. รู้จักให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้า (หนึ่งรู้บำเหน็จให้ ขุนพล อันสมรรถมือผจญ จืดเสี้ยน)
๘. อย่าเกียจคร้าน (อย่าหย่อนวิริยะยล อย่างเกียจ)
พระมหาอุปราชาทรงรับโอวาทและคำประสาทพรแล้ว
กราบบังคมลามาที่เกยประทับบนหลังช้างพระที่นั่ง
ยกกองทัพออกจากพระนครผ่านโขลนทวารเสด็จพระราชดำเนินไปทันที
ตอน ๓
พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี
โคลง ๒
ยกพลผ่านด่านกว้าง
เสียงสนั่นม้าช้าง
กึกก้องทางหลวง
โคลง ๓
ปวงประนมนบเกล้า
งามเสงียมเฟื้ยมเฝ้า
อยู่ถ้าทูลสนอง
ล่วงลุด่านเจดีย์
สามองค์มีแห่งหั้น
แดนต่อแดนกันนั้น
ฯลฯ
โคลง๔
มาเดียวเปลี่ยวอกอ้า
อายสู
สถิตอยู่เอ้องค์ดู
ละห้อย
พิศโพ้นพฤกษ์พบู
บานเบิก ใจนา
พลางคะนึงนุชน้อย
แน่งเนื้อนวลสงวน
ฯลฯ
สลัดไดใดสลัดน้อง
แหนงนอน ไพรฤๅ
เพราะเพื่อมาราญรอน
เศิกไสร้
สละสละสมร
เสมอชื่อ
ไม้นา
นึกระกำนามไม้
แม่นแม้นทรวงเรียม
ฯลฯ
สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง
ยามสาย
สายบ่หยุดเสน่ห์หาย
ห่างเศร้า
กี่คืนกี่วันวาย
วางเทวษ ราแม่
ถวิลทุกขวบค่ำเช้า
หยุดได้ฉันใด
ฯลฯ
พลมอญเมิลมืดท้อง
รัถยา
อเนกนิกรอาชา
ชาติช้าง
ทวนทองเถือกทอตา
เปลือยปลาบ
เทียวธวัชแลสล้าง
เฟื่องฟ้าปลิวปลาย
ร่าย
ฝ่ายนครกาญจน จัดพลพวกด่าน ผ่านไปสืบเอาเหตุ ในขอบเขตรามัญ
เขาก็พากันรีบรัด ลัดเล็ดลอดเลาะดง ตรงไปทางแม่กษัตริย์ จัดกันซุ่มเป็นกอง
มองเอาเหตุเอาผล ยลนิกรรามัญ เดินแน่นนันต์นองเถื่อน เกลื่อนมาทั่วออกทิศ
หวันก่อกิจดัสกร แก่พระนครตระหนัก เห็นฉัตรปักห้าชั้น กั้นบนเบื้องหลังสาร เขาก็ทราบการโดยขนาด
ว่าอุปราชขุนทัพ เร็วรีบกลับมาบอก แดออกญาผ่านเผ้า เจ้านครกาญจนบุริน
ยินยุบลข่าวศึก พิลึกลาญขวัญ แหลกแสกกมลทะท้าว ร้าวอุระขุนเมือง
เคืองใจราษฎร์ทุกผู้ รู้ตรลอดไพร่นาย เขาทั้งหลายตริกัน ขวัญเกี่ยงกินเผือนเผือด
เลือดสลดหมดหน้า บเห็นถ้าต่อรบ รู้ว่าทบบมิทาน รู้ว่าราญบมิรอด คิดเททอดครัวแตก
แหกหนีหน้าอย่าพะ เขามละบ้านเมือง เปลืองเปล่าผู้หมู่ชน ชวนกันซนกันซุก
บุกป่าดงป่าแดง แฝงเอาเหตุเอาผล ยลกระแหน่เศิกไสร้ เพื่อลงลักษณะให้
ส่งท้าวแถลงความ ท่านนา
โคลง๔
ชาวสยามคร้ามเศิกสิ้น ทั้งผอง
นายและไพร่ไป่ปอง
รบร้า
อพยพหลบหลีกมอง
เอาเหตุ
ซุกซ่อนห่อนให้ข้า
ศึกได้ไปเป็น
ร่าย
ส่วนนเรนทรสมญา มหาอุปราชรามัญ ธก็ให้ผันพลผ้าย
ย้ายมาโดยทางเถื่อน ทัพหน้าเคลื่อนพลเดิม ลุลำกระเพินบมิหึง จึ่งพระยาจิดตอง
ให้พลกรองเวฬู ปูเป็นสะพานผ่านชล เร่งเดินพลข้ามฟาก มากนิกรคั่งคาม
พวกชาวสยามเห็นตระหนัก จึ่งลงลักษณ์สารสื่อ ใส่ชื่อทั่วตัวขุน ถ้วนทุกมุลทุกนาย
แดออกญามหาด ทูลบัวบาทมหิบาล เขาก็รับสารขึ้นม้า รับมาเร็วฤๅช้า บอกข้อเข็ญความ
ท่านนา
โคลง๒
กองทัพตามกันเต้า
เสียงสนั่นลั่นเท้า
พ่างพื้นไพรพัง
เพิกฤๅ
โคลง๔
ดลยังเวียงด่านด้าว
โดยมี
เมืองชื่อกาญจนบุรี
ว่างว้าง
ผู้ใดบ่ออกตี
ตอยต่อทัพนา
ยลแต่เหย้าเรือนร้าง
อยู่ไร้ใครแรม
สอดแนมจักจับถ้อย
ไถ่ความ
ฤๅบ่ได้ชาวสยาม
สักผู้
จักสืบจักเสาะถาม
เหตุห่อน
รู้แฮ
รู้ว่าชาวเมืองรู้
เล่ห์แล้วหลีกหนี
ธก็กรีธาทัพเข้า
เนาเมือง
ประทับอยู่แรมคืนเคือง
สวาทไหม้
คำนึงนุชไป่เปลือง
จิตท่าน ถวิลนา
เจ็บอุระราชไข้
ขุนแค้นคับทรวง
ระลวงรำลึกอ้า บังอร
ยลแต่แสงศศิธร ถ่องฟ้า
แสงจันทร์บ่ส่องสมร หมดเทวษ
ถวิลบ่ลืมนวลหน้า แม่แม้นนวลจันทร์
ฯลฯ
พระฝืนทุกข์เทวษกล้ำ แกล่ครวญ
ขับคชบทจรจวน จักเพล้
บรรลุพนมทวน เถื่อนที่
นั้นนา
เหตุอนาถหนักเอ้ อาจให้ชนเห็น
เกิดเป็นหมอกมืดห้อง เวหา หนเฮย
ลมชื่อเวรัมภา พัดคลุ้ม
หวนหอบหักฉัตรา คชขาด
ลงแฮ
แลธุลีกลัดกลุ้ม เกลื่อนเพี้ยงจักรผัน
พระพลันเห็นเหตุไซร้ เสียงดวง แดเฮย
ถนัดดั่งภูผาหลวง ตกต้อง
กระหม่ากระเหม่นทรวง สั่นซีด
พักตร์นา
หนักหฤทัยท่านร้อง เรียกให้โหรทาย
ทั้งหลายล้วนจบแจ้ง เจนไสย ศาสตร์แฮ
เห็นตระหนักแน่ใน เหตุห้าว
จักทูลบ่ทูลไท เกรงโทษ
ท่านนา
เสนอแต่ดีกลบร้าว เผด็จเสี้ยนศึกสยาม
เหตุนี้ผิวเช้าชั่ว ฉุกเข็ญ
เกิดเมื่อยามเย็นดี
ดอกไท้
อย่าขุนอย่าลำเค็ญ ใจเจ็บ
พระเอย
พระจักลุลาภได้ เผด็จเสี้ยนศึกสยาม
ฯลฯ
ครั้นฟังบพิตรเพี้ยง
ฟังหู หนึ่งนา
หูหนึ่งแหนงคำสู
ซึ่งพร้อง
ไป่ไว้หฤทัยภู-
ธรพรั่น
อยู่นา
นึกเร่งกริ่งเกรงต้อง
แต่แพ้ดัสกร
ฯลฯ
สระเทินสระทกแท้
ไทถวิล อยู่เฮย
ฤๅใคร่คลายใจจินต์
จืดสร้อย
คำนึงนฤบดินทร์
บิตุเรศ พระแฮ
พระเร่งลานละห้อย
เทวษไห้โหยหา
อ้าจอมจักรพรรดิผู้ เพ็ญยศ
แม้พระเสียเอารส แก่เสี้ยน
จักเจ็บอุระระทด ทุกข์ใหญ่
หลวงนา
ถนัดดั่งพาหาเหี้ยน หั่นกลิ้งไกลองค์
ณรงค์นเรศวร์ด้าว ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน รบสู้
เสียดายแผ่นดินมอญ พลันมอด
ม้วยแฮ
เหตุบ่มีมือผู้- อื่นต้านทานเข็ญ
เอ็นดูภูธเรศเจ้า จอมถวัลย์
เปลี่ยวอุระราชรัน- ทดแท้
พระชนม์ชราครัน ครองภพ พระเอย
เกรงบพิตรจักแพ้ เพลี่ยงพล้ำศึกสยาม
สงครามครานี้หนัก ใจเจ็บ ใจนา
เรียมเร่งแหนงหนาวเหน็บ อกโอ้
ลูกตายฤใครเก็บ
ผีฝาก พระเอย
ผีจัดเท้งที่โพล้ ที่เพล้ใครเผา
พระเนานัคเรศอ้า เอองค์
ฤๅบ่มีใครดง คู่ร้อน
จักริจักเริ่มรงค์ ฤๅลุ แล้วแฮ
พระจักขุ่นจักข้อน กแค้นคับทรวง
พระคุณตวงเพียบพื้น ภูวดล
เต็มตรลอดแหล่งบน บ่อนใต้
พระเกิดพระก่อชนม์ ชุบชีพ มานา
เกรงบ่ทันลูกได้ กลับเต้าตอบสนอง
ฯลฯ
ร่าย
เมื่อนั้นเจ้าธานินทร์
บุรินทรศักดิ์สีมา ทุกบุราราชอาณาเขต ประเทศนครสิงห์สรรค์ ศรีสุพรรณทุกภาย
เขาก็ขยายครัวครอก ซอกไปซ่อนไปซุก บุกป่าแดงป่าดง แล้วก็ลงลักษณ์ข่าวสาร
ส่งอาการเหตุห้าว มาบังคมทูลท้าว ธิราชผู้ผ่านถวัลย์ แลนา
ถอดความ
พระมหาอุปราชายกทัพผ่านด่านเจดีย์สามองค์
ทรงรำพันถึงนางสนมว่า เสด็จมาลำพังพระองค์เดียวเปล่าเปลี่ยวใจและน่าเศร้านัก
เมื่อทรงชมต้นไม้และดอกไม้ที่ทรงพบเห็นระหว่างทางทำให้เบิกบานพระทัยขึ้นมาบ้าง
แต่ก็ยังคิดถึงนางสนมกำนัลทั้งหลาย
ทรงเห็นต้นสลัดไดทรงดำริถึงสาเหตุที่ต้องจากนางมาเพื่อทำสงครามกับข้าศึก เห็นต้นสละเหมือนพระองค์สละนางมา
เห็นต้นระกำที่ชื่อต้นไม้เหมือนใจของพระองค์ที่ระกำเพราะคิดถึงนาง
เห็นดอกสายหยุดซึ่งกลิ่นหอมจะหมดไปเมื่อเวลาสาย
ต่างจากใจของพระองค์แม้เวลาผ่านไปกี่วันกี่คืน มีแต่ความทุกข์คิดถึงนางทุกค่ำเช้า
ไม่อาจหยุดรักนางได้
ฝ่ายเจ้าเมืองกาญจนบุรี
จัดทหารไปสืบข่าวในเขตมอญ ทหารก็ลัดเลาะไปทางลำน้ำแม่กษัตริย์
เห็นฉัตรห้าชั้นก็ทราบว่าพระมหาอุปราชายกทัพมา
กลับมาแจ้งข่าวศึกให้เจ้าเมืองกาญจนบุรี
เจ้าเมืองทราบข่าวศึกปรึกษากันแล้วเห็นว่ากำลังทหารมีน้อย
คงต้านไม่ได้จึงชวนกันหลบหนีเข้าป่า ส่วนกองทัพพระมหาอุปราชามาถึงแม่น้ำลำกระเพิน
ให้พระยาจิตตอง ทำสะพานไม้ไผ่เพื่อยกพลเดินข้ามฟาก ชาวสยามเห็นเช่นนั้นจึงมีสาร
แล้วให้ขุนแผน (นายด่าน) ขี่ม้าเร็วมาบอกพญามหาดไทย เพื่อกราบทูลเรื่องให้ทรงทราบ
ส่วนกองทัพมอญยกทัพมาถึงเมืองกาญจนบุรีเห็นบ้านเมืองว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดออกสู้รบ
จึงรู้ว่าคนไทยทราบข่าวและหลบหนีไปหมด จึงให้ยกทัพเข้าไปในเมือง
แล้วต่อไปถึงตำบลพนมทวน เกิดลมเวรัมภาพัดฉัตรหักลง ทรงตกพระทัย ทรงให้โหรทำนาย
โหรไม่กล้าทูลตามความจริง กลับทำนายว่า เหตุการณ์เช่นนี้หากเกิดในตอนเช้าไม่ดี
ถ้าเกิดในตอนเย็นจะได้ลาภ และจะชนะศึกครั้งนี้
พระมหาอุปราชาได้ทรงฟังก็อดที่จะหวั่นพระทัยไม่ได้ด้วยเกรงพ่ายแพ้ข้าศึก
การรบกับพระนเรศวร ใครก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้
เสียดายแผ่นดินมอญจะต้องพินาศเพราะไม่มีใครอาจจะต่อสู้ต้านทาน สงสารพระราชบิดา
ที่จะต้องสูญเสียพระโอรสพระราชบิดาทรงชราภาพมาก เกรงจะพ่ายแพ้ศึกสยาม
หากพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ไม่มีใครเก็บผี(ศพ)ไปให้พระบิดา ไม่มีใครเผา
พระราชบิดาไม่มีใครเป็นคู่ทุกข์ จะริเริ่มสงครามเพียงลำพังไม่ได้
พระองค์คงจะต้องคับแค้นพระทัย
พระมหาอุปราชาทรงรำพึงถึงพระคุณของพระราชบิดาว่าใหญ่หลวงนักเกรงว่าจะไม่โอกาสกลับไปตอบแทนพระคุณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น