ลิลิตตะเลงพ่าย
สาระสำคัญ
ลิลิตตะเลงพ่าย พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
เป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกรียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระมหาอุปราชาของพม่ายกทัพมาเพื่อตีกรุงศรีอยุธยาแล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนได้รับชัยชนะ
ชี้ให้เห็นถึงการรักษาเอกราชของบรรพบุรุษไทย
ทำให้ผู้อ่านเกิดความรักชาติและมีจิตสำนึกที่ดี
ความเป็นมา
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
มีการดำเนินเรื่องตามพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
เริ่มตั้งแต่สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต
จนถึงตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกังพระมหาอุปราชาของพม่า
พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.๒๑๓๕
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงพระนิพนธ์เรื่องนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
โดยแต่งแนวเดียวกับยวนพ่ายโคลงดั้น หรือโคลงยวนพ่าย
ซึ่งมีมาก่อนตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ประวัติผู้แต่ง
ผู้ทรงพระนิพนธ์เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย
คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเป็นโอรสองค์ที่ ๒๘
ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ( รัชกาลที่ ๑ ) พระมารดา คือ
เจ้าจอมมารดาจุ้ย ต่อมาได้เลื่อนเป็น " ท้าวทรงกันดาล"
เป็นตำแหน่งผู้รักษาคลังใน เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
( รัชกาลที่ ๓ ) ประสูติเมื่อวันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๕ ค่ำ ปีจอ จุลศักราช ๑๑๕๒
ตรงกับวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ และมีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าวาสุกรี
เมื่อปี พ.ศ.
๒๓๔๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระองค์ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุเพียง
๑๒พรรษาและจำพรรษาอยู่ที่วัดเพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
ทรงเป็นศิษย์ของสมเด็จพระพนรัตน์ ( แก้ว )
พระองค์เจ้าสามเณรวาสุกรีประทับจำพรรษาและศึกษาอยู่ในวัดพระเชตุพนฯ
จนสิ้นรัชกาลที่ ๑
สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
( รัชกาลที่ ๒ ) ได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๓๕๔ ทรงได้สมณฉายาว่า
"สุวัณณรังษี" ทรงผนวอยู่ได้ ๓ พรรษา
สมเด็จพระพนรัตน์อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ถึงแก่มรณภาพ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ ๒ ) เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดพระเชตุพนฯ
พระองค์โปรดแต่งตั้งให้พระองค์เจ้าพระ"สุวัณณรังษี"
เป็นพระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์ วัดพระเชตุพนฯ
ต่อมาทรงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจ้าต่างกรม คือ "กรมหมื่นนุชิตชิโนรส
ศรีสุคตขัตติยวงศ์" และดำรงพระยศนี้อยู่จนสิ้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๓ )
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
( รัชกาลที่ ๔ ) เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้วมีพระราชโองการประกาศเลื่อน
"กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์"
ให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริฯายก ณ วันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน จุลศักราช
๑๒๑๓ ( พ.ศ. ๒๓๙๔ ) และได้เลื่อนพระอริยยศสูงขึ้นตามลำดับ คือ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หััวได้ทรงสถาปนากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสเป็น
"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส" เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน
พ.ศ. ๒๔๖๔
พระองค์ทรงเชี่ยวชาญทั้งคดีโลกและคดีธรรม
และเชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง มีผลงานพระนิพนธ์ต่างๆ มากมาย เช่น
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ พระปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ๑๑ กัณฑ์
สรรพสิทธิ์คำฉันท์ สมุทรโฆษคำฉันท์ เป็นต้น และเป็นพระอาจารย์ของเจ้านายหลายพระองค์
เช่น รัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีพระชนมายุในรัชกาลที่ ๔ เพียง ๒ พรรษา
ก็ประชวรด้วยพระโรคชราและสิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ
ปีฉลูเบญจศก จุลศักราช ๑๒๑๕ เวลาบ่าย ๓ โมง ตรงกับวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖
สิริรวมพระชนมายุได้ ๖๔ พรรษา พระองค์อยู่ในสมณเพศเกือบจะตลอดพระชนม์ชีพ
รวมพระชนม์ในร่มกาสาวพัสตร์ได้ ๕๒ พรรษา
ลักษณะคำประพันธ์
ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นวรรณคดีแนวประวัติศาสตร์และเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรตินับเป็นวรรณคดีที่มุ่งสดุดีวีรกรรมด้า่นการรบของวีรบุรุษของชาติ
คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ
อันได้แก่ โคลงสอองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ
สลับกันตามความเหมาะสมของเนื้อหา
โดนเริ่มต้นด้วยร่ายสุภาพซึ่งเป็นบทยอพระเกียรติและสดุดีความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง
โดยแต่งให้คำสุดท้ายของบทประพันธ์บทต้น ส่งสัมผัสมายังคำที่ ๑ หรือคำที่ ๒
หรือคำที่ ๓ ของบทต่อไป เชื่อมกันอย่างนี้ตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่า เข้าลิลิต
ลักษณะคำประพันธ์ของลิลิตตะเลงพ่าย
มีดังนี้
๑) ร่ายสุภาพ
ร่ายสุภาพบทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้
วรรคหนึ่งมี ๕ คำ คำสุดท้ายของวรรคหน้าต้องมาสัมผัสกับคำที่ ๑ , ๒ หรือ ๓ ของวรรคต่อๆไป เป็นเช่นนี้ตลอด และจบลงด้วยโคลงสองสุภาพ ดังผังภูมิ
๒) โคลงสองสุภาพ
โคลงสองสุภาพมีสามวรรค
วรรคหนึ่งและวรรคสองมีวรรคละห้าคำ วรรคที่สามมีสี่คำและคำสร้อยสองคำ
บังคับเอกโทในวรรค ดังผังภูมิ
๓) โคลงสามสุภาพ
โคลงสามสุภาพ มีจำนวนวรรคเพิ่มจากโคลงสองสุภาพอีกหนึ่งวรรค
โดยคำสุดท้ายของวรรคแรก ส่งสัมผัสไปยังคำที่สามของวรรคสอง คำสุดท้ายวรรคที่ ๒
สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ บังคับ เอก โท ดังผังภูมิ
๔) โคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพมีสี่บาท บาทละสองวรรค วรรคหน้าห้าคำ
วรรคหลังสองคำ เฉพาะวรรคหลังบาทที่ ๔ มี ๔ คำ คำสร้อยมีได้ท้ายบทที่ ๑ และ ๓
มีบังคับเอก ๗ แห่ง โท ๔ แห่งคำเอก โท ในวรรคที่ ๑ บาทที่ ๑ นั้ันเปลี่ยนที่กันได้
คือ เอาคำโทไว้หน้าคำเอกก็ได้ ส่วนในที่ที่ต้องการคำเอกอาจใช้คำตายหรือคำเสียงสั้นแทนได้
แต่ห้ามใช้คำตายในคำที่ ๔ วรรคหลัง บาทที่ ๔ ใช้คำเอกโทษ โทโทษได้ ดังผังภูมิ
เรื่องย่อ
คำว่า ตะเลง หมายถึง
มอญ พ่าย แปลว่า แพ้ คำว่า ตะเลงพ่าย แปลตามตัวอักษรคือ
มอญแพ้ แต่พม่าเป็นผู้ที่ปกครองมอญอยู่ คำว่าตะเลงในที่นี้จึงหมายถึง พม่าและมอญเป็นผู้แพ้สงคราม
เนื้อหาในลิลิตตะเลงพ่ายมี ๑๒ ตอน
โดยเริ่มต้นเรื่องด้วยร่ายสุภาพและโคลงสี่สุภาพยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ซึ่งกล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
สมเด็จพระนเรศวรทรงขึ้นครองราชย์โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นพระมหาอุปราชพระเจ้าหงสาวดีทราบข่าวไทยผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ก็ปรารถว่าจะมาตีไทยเพื่อหยั่งเชิง
จึงมีพระราชบัญชาให้พระมหาอุปราชายกทััพมาตีไทย
เมื่อลานางสนมแล้วก็ยกทัพเจ้ามาทางเมืองกาญจนบุรี
ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรปรารถจะไปตีเมืองเขมร
ครั้นรู้ข่าวก็ทรงเตรียมการสู้ศึกพม่า ทรงตรวจแล้วตระเตรียมกองทัพ
พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกเข้ามาปะทะทัพหน้าของไทย
ส่วนสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงปรึกษาเพื่อหาทางเอาชนะข้าศึก
เมื่อทัพหลวงเคลื่อนพลช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรและช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถกำลังตกมัน
ก็เตลิดเข้าไปในวงล้อมของข้าศึก ณ ตำบลตระพังตรุ
สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา
สมเด็จพระเอกาทศรถทรงทำยุทธหัตถีกับมางจาชโรและได้รับชัยชนะทั้งสองพระองค์
เมื่อพระมหาอุปราชาถูกฟันขาดคอช้าง กองทัพหงสาวดีก็แตกพ่ายกลับไป
สมเด็จพระนเศวรทรงปูนบำเหน็จทหารและปรึกษาโทษนายทัพนายกองที่ตามช้างทรงเข้าไปในกองทัพพม่าไม่ทัน
สมเด็จพระวันรัตทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทนแม่ทัพนายกองทั้งหมด
สมเด็จพระนเรศวรก็โปรดพระราชทานอภัยโทษให้
โดยให้ยกทัพไปตีทวายและตะนาวศรีเป็นการแก้ตัว
จากนั้ันได้ทรงจัดการทำนุบำรุงหัวเมืองทางเหนือ เจ้าเมืองเชียงใหม่มาสวามิภักดิ์ขอเป็นเมืองขึ้น
สมเด็จพระนเรศวรทรงรับทูตเชียงใหม่และจบลงด้วยการยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร
ตอนท้ายกล่าวถึงธรรมะสำหรับพระเจ้าแผ่นดินและบอกจุดมุ่งหมายในการแต่งบอกชื่อผู้แต่ง
สมัยที่แต่งและตำอธิษฐานของผู้ทรงนิพนธ์ คือ ขอให้บรรลุโลกุตรธรรม
แต่ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็ขอให้ได้เป็นกวีทุกชาติไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น